คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 493/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 2 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนรายนี้จึงเป็นการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองเท่านั้น ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องในความผิดฐานนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม คือ จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 40 เม็ด กับอีกจำนวนหนึ่งไม่ทราบแน่ชัดรวมน้ำหนัก 4.95 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 10 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏชัด ให้แก่สายลับที่ล่อซื้อไปในราคา 1,000 บาท ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง กับคืนธนบัตรจำนวน 720 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 5 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง กระทงแรก จำคุก 2 ปี กระทงหลัง จำคุก 2 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและให้การว่านำธนบัตรของกลางไปให้จำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม กระทงแรกจำคุก 2 ปี 8 เดือน กระทงหลัง จำคุก 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกมีกำหนด 5 ปี 12 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง และคืนธนบัตรจำนวน 720 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้อง จำเลยที่ 2 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 จำนวน 10 เม็ด ได้มอบเงินจำนวน 720 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 รับไปแล้ว ขณะจำเลยที่ 1 จะนำเมทแอมเฟตามีนไปมอบให้จำเลยที่ 2 ยังไม่ทันที่จำเลยที่ 2 จะรับมอบเมทแอมเฟตามีน จำเลยทั้งสองถูกเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม และยึดเมทแอมเฟตามีนบรรจุในหลอดกาแฟที่จำเลยที่ 1 เคี้ยวจนป่นละเอียด เงินจำนวน 720 บาท และเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด ที่ค้นได้ภายในบริเวณบ้านจำเลยที่ 1 เป็นของกลาง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทวรการ เกศเกษม สิบตำรวจโทมลฑล ปานเกิด และพลตำรวจทรงสิทธิ์ สิงห์สถิต มาเป็นพยานโจทก์เบิกความในทำนองเดียวกันว่า ก่อนจับกุมได้สืบทราบว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแก่บุคคลทั่วไปโดยผู้ซื้อจะต้องซื้อผ่านจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 2 จะไปนำเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 มามอบให้แก่ผู้ซื้อ จึงได้วางแผนจับกุมจำเลยทั้งสอง โดยนำธนบัตรฉบับละ 100 บาท 5 ฉบับ ฉบับละ 20 บาท 25 ฉบับ ไปถ่ายสำเนาแล้วมอบให้สายลับนำไปล่อซื้อ ต่อมาร้อยตำรวจโทวรการได้รับแจ้งจากสายลับว่าได้มอบเงินให้จำเลยที่ 2 ไปแล้ว และจำเลยที่ 2 กำลังไปเอาเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 สิบตำรวจโทมลพลเบิกความยืนยันต่อไปว่า เห็นจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปบ้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ส่งมอบธนบัตรให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 เดินไปที่ริมคลองหน้าบ้านหยิบสิ่งของสิ่งหนึ่งแล้วเดินกลับไปหาจำเลยที่ 2 แต่ยังไม่ทันจะส่งมอบ พยานกับพวกจึงเข้าจับกุมจำเลยทั้งสองไว้ได้ ขณะเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 นำสิ่งของที่หยิบมาใส่เข้าไปในปาก พยานจึงนำออกมาปรากฏว่าเป็นเมทแอมเฟตามีนที่บรรจุอยู่ในหลอดกาแฟลักษณะป่นละเอียด จากนั้นค้นตัวจำเลยที่ 1 พบธนบัตรฉบับละ 100 บาท 5 ฉบับ ฉบับละ 20 บาท 1 ฉบับ รวมเป็นเงิน 720 บาท ซึ่งมีหมายเลขตรงกับธนบัตรที่มอบให้สายลับมาล่อซื้อ ส่วนจำเลยที่ 2 ค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย หลังจากนั้นตรวจค้นบริเวณบ้านจำเลยที่ 1 พบเมทแอมเฟตามีนอีก 40 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณบ้านจึงยึดเป็นของกลาง ส่วนจำเลยที่ 2 นำสืบว่า ได้นำเงินจำนวน 720 บาท มาจากนายเจริญ กระแชรำ เพื่อนำไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาเสพด้วยกัน มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแต่อย่างใด เห็นว่า แม้โจทก์จะมีธนบัตรของกลางมีหมายเลขตรงกับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อมาเป็นพยานหลักฐานก็ตาม แต่ในการล่อซื้อจากจำเลยที่ 2 ขณะที่สายลับนำธนบัตรไปมอบให้จำเลยที่ 2 ปรากฏว่าไม่มีพยานโจทก์ผู้ใดรู้เห็นว่าจะมีการมอบกันจริงหรือไม่ จำเลยที่ 2 จะรับมอบจากสายลับหรือไม่ ก็ไม่ปรากฏ เพราะโจทก์ไม่ได้นำตัวสายลับมาเบิกความเป็นพยาน นอกจากนั้นปรากฏว่าในขณะที่จำเลยที่ 2 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 นั้น ก็ยังไม่ทันจะรับมอบเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับเสียก่อนเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 จะนำเมทแอมเฟตามีนกลับไปให้สายลับหรือไม่ ดังนั้น จากข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาคงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนรายนี้จึงเป็นการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองเท่านั้น คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ซึ่งข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นข้อสาระสำคัญ ศาลจึงต้องยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นว่า โจทก์นำสืบมาฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ทั้งปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้อยู่ในบ้านจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านจำเลยที่ 2 และตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนที่ตัวจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ยังไม่ทันได้รับมอบจากจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยที่ 2 จึงยังไม่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share