คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4929/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันประกอบกิจการภัตตาคาร มีข้อตกลงให้โจทก์เก็บรายได้และจ่ายรายจ่ายจากการประกอบกิจการ ซึ่งโจทก์จำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงตลอดมา 6 เดือน การที่จำเลยห้ามโจทก์และพนักงานของโจทก์จัดเก็บรายได้ตามข้อตกลงดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหาย เป็นเรื่องที่ถือได้ว่าจำเลยตั้งใจกระทำซ้ำและกระทำต่อไปซึ่งเป็นการผิดสัญญา เป็นกรณีมีเหตุผลเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนคำพิพากษามาใช้บังคับ ทั้งเป็นกรณีที่มีเหตุผลเพียงพอที่จะสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลจึงมีอำนาจสั่งและพิพากษาห้ามมิให้จำเลยหรือตัวแทนของจำเลยทำการจัดเก็บรายได้และจ่ายรายจ่ายเพียงฝ่ายเดียวในกิจการภัตตาคาร โดยให้โจทก์หรือตัวแทนของโจทก์และจำเลยหรือตัวแทนของจำเลยร่วมกันจัดเก็บรายได้และจ่ายรายจ่ายในกิจการภัตตาคาร และให้ร่วมกันทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อควบคุมรายได้และรายจ่ายในกิจการภัตตาคารในระหว่างพิจารณาคดีจนกว่าจะมีคำพิพากษาได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบทรัพย์สินของโจทก์ที่ได้ลงทุนไปและการจัดเก็บรายได้จากการประกอบกิจการภัตตาคารเสวยแอร์พอร์ตให้แก่โจทก์ และให้จำเลยชำระเงิน 9,757,492.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยกับให้จำเลยชำระค่าเสียหายวันละ 120,000 บาท โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณา จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของโจทก์เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 และ 264 ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยหรือตัวแทนของจำเลยทำการจัดเก็บรายได้และจ่ายรายจ่ายแต่เพียงฝ่ายเดียวในกิจการภัตตาคารเสวยแอร์พอร์ต ณ อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ โดยให้โจทก์หรือตัวแทนของโจทก์และจำเลยหรือตัวแทนของจำเลยร่วมกันทำหน้าที่จัดเก็บรายได้และจ่ายรายจ่ายในกิจการภัตตาคารดังกล่าวและให้ร่วมกันทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อควบคุมรายได้และรายจ่ายในกิจการภัตตาคารดังกล่าวระหว่างการพิจารณาคดีจนกว่าจะมีคำพิพากษา

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยอ้างว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องเรื่องผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหาย ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะห้ามจำเลยเก็บรายได้แล้วให้โจทก์เป็นฝ่ายเก็บ เพราะไม่ใช่เป็นการคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาคำสั่งศาลให้คุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวเป็นเรื่องที่ยากต่อการปฏิบัติ โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อเรียกค่าเสียหาย หากโจทก์ชนะคดีก็สามารถบังคับคดีได้ ฟ้องโจทก์ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้บังคับนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ในชั้นไต่สวนโดยจำเลยมิได้โต้แย้งว่า โจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันประกอบกิจการภัตตาคาร โดยมีข้อตกลงให้โจทก์มีหน้าที่เก็บรายได้และจ่ายรายจ่ายจากการประกอบกิจการ ซึ่งโจทก์จำเลยก็ปฏิบัติตามข้อตกลงตลอดมาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2537 จนถึงวันที่ 3 กันยายน2537 การที่จำเลยห้ามโจทก์และพนักงานของโจทก์จัดเก็บรายได้ตามข้อตกลงเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายเป็นคดีนี้ เป็นเรื่องที่ถือได้ว่า จำเลยตั้งใจกระทำซ้ำและกระทำต่อไปซึ่งเป็นการผิดสัญญา เป็นกรณีมีเหตุผลเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนคำพิพากษามาใช้บังคับ ทั้งเป็นกรณีที่มีเหตุผลเพียงพอที่จะสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาคำร้องขอของโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาห้ามมิให้จำเลยหรือตัวแทนของจำเลยทำการจัดเก็บรายได้และรายจ่ายแต่เพียงฝ่ายเดียวในกิจการภัตตาคารเสวยแอร์พอร์ต ณ อาคารผู้โดยสารภายในประเทศโดยให้โจทก์หรือตัวแทนของโจทก์และจำเลยหรือตัวแทนของจำเลยร่วมกันทำหน้าที่จัดเก็บรายได้และจ่ายรายจ่ายในกิจการภัตตาคารดังกล่าว และให้ร่วมกันทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อควบคุมรายได้และรายจ่ายในกิจการภัตตาคารดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดีจนกว่าจะมีคำพิพากษานั้น ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share