คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 490/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ทำยอมโอนขายที่ดินให้จำเลยครึ่งแปลง โดยให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมเป็นการแสดงเจตนา แต่จำเลยกลับขอโอนที่ดินต่ออำเภอเป็นของจำเลยทั้งแปลง โจทก์จึงร้องต่ออำเภอเป็นของจำเลยทั้งแปลง โจทก์จึงร้องต่อศาลชั้นต้นว่าการโอนไม่ถูกต้องตามยอม จำเลยก็ยืนยันว่าการโอนถูกต้องแล้ว ศาลก็มิได้สั่งประการใด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าเป็นการโอนในคดีก่อนไม่ถูกต้องตามยอม ขอให้เพิกถอน ดังนี้ พอถือได้ว่าเป็นการกระทำชั้นบังคับคดีในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีที่ดิน ๑ แปลง ตกลงขายให้นายจับและจำเลยคนละครึ่งโดยขายให้นายจับทางทิศเหนือ จำเลยทางทิศใต้ เมื่อถึงกำหนดเวลาที่จะทำการโอนกัน โจทก์จำเลยได้ไปอำเภอตามนัด แต่นายจับไม่ไป สัญญาจึงทำกันไม่ได้ เพราะเหตุว่าการยื่นคำร้องขอขายและรังวัดกับประกาศได้ทำร่วมกันมาทั้งนายจับและจำเลย เมื่อสัญญาซื้อขายไม่ได้ทำกันทางอำเภอเช่นนี้ จำเลยจึงฟ้องโจทก์ขอให้โอนที่ดิน โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยโดยให้ถือเอาคำร้องขอขายทางอำเภอเป็นหลัก จำเลยได้นำสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลไปทำสัญญาแต่ฝ่ายเดียว โดยโอนที่ดินทั้งส่วนเหนือและส่วนใต้ของโจทก์ทั้งหมดไป ซึ่งเป็นการทุจริต โจทก์จึงได้บอกล้างการกระทำของจำเลยดังปรากฏตามคำบอกล้างของโจทก์ในคดีแพ่งแดงที่ ๗๗/๒๕๐๑ ศาลเรียกตัวจำเลยมาศาล จำเลยก็เพิกเฉย ไม่ยอมปฏิบัติตามความเป็นจริง จึงต้องฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินที่จำเลยทำที่ว่าการอำเภอเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอน
จำเลยให้การว่า โจทก์ร้องขอขายที่ดินต่ออำเภอให้จำเลย แล้วไม่ยอมขาย เกี่ยงจะเอาราคาเพิ่มขึ้น จำเลยจึงฟ้องโจทก์ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๗๗/๒๕๐๑ ขอให้ขายที่ดินให้จำเลย จำเลยได้แสดงแผนที่ที่ดินซึ่งโจทก์จะขายด้วย ในการต่อสู้คดีโจทก์มิได้ปฏิเสธแผนที่ มิหนำซ้ำยังยอมขายให้จำเลยตามแผนที่ท้ายฟ้อง คงเถียงเฉพาะเรื่องราคา โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะมาคัดค้านว่าสัญญาซื้อขายไม่ถูกต้อง หนังสือสัญญาซื้อขายได้ทำไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์หาได้มีอำนาจขอให้เพิกถอนไม่
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่าขายที่ดินให้จำเลยเพียงครึ่งเดียวนั้น เมื่อจำเลยฟ้องโจทก์ให้โอนที่ดินตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๗๗/๒๕๐๑ โจทก์ก็มิได้โต้เถียงไว้ ภายหลังมีการทำสัญญาประนีประนอม ก็ต้องถือเอาสัญญาประนีประนอมเป็นหลัก เมื่อจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมแล้ว ย่อมถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย คดีแพ่งแดงที่ ๗๗/๒๕๐๑ ถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะรื้อฟื้นขึ้นอีกหาได้ไม่ เป็นการฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยสุจริตถูกต้องตามกฎหมายและตรงตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วก็ไม่เป็นการละเมิด โจทก์ไม่เสียหายอย่างใด ไม่มีสิทธิฟ้องร้องขอถอนสัญญาขายที่ดินซึ่งอำเภอทำให้จำเลย จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความจริงคดีนี้อยู่ในชั้นบังคับคดีเรื่องก่อน แต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นแล้วว่า การบังคับคดีไม่ถูกต้องตามคำพิพากษาท้ายยอม ศาลชั้นต้นควรจะสั่งอยู่งาใดอย่างหนึ่ง เมื่อคู่ความไม่พอใจก็อาจจะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นได้ตามกระบวนพิจารณา เมื่อศาลไม่สั่งโจทก์ก็ต้องนำคดีมาฟ้อง หากจะย้อนสำนวนไปให้ทำเสียให้ถูกต้อง ก็จะเป็นการเสียทรัพย์และเสียเวลาของคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นรับพิจารณาพิพากษามาโดยลำดับเช่นนี้ พอนุมานได้ว่าเป็นการกระทำชั้นบังคับคดี ศาลฎีกาจึงจะพิจารณาพิพากษาไปเลยทีเดียว
เรื่องนี้ โจทก์อ้างว่าการบังคับคดีผิดจากคำพิพากษาท้ายยอม ซึ่งตามคำพิพากษาท้ายยอมในคดีแพ่งแดงที่ ๗๗/๒๕๐๑ มีว่า “โจทก์จำเลยต่างตกลงกันให้ถือคำร้องซึ่งยื่นขอขายที่พิพาทคดีนี้ต่อทางอำเภอเป็นหลัก” คำร้องซึ่งยื่นขอขายในที่นี้ต้องหมายถึงเอกสาร จ.๘ เพราะมีชื่อโจทก์ลงชื่อเป็นผู้ขอขาย จำเลยลงชื่อเป็นผู้ซื้อ ตามเอกสาร จ.๘ ปรากฏชัดว่าจำเลยขอซื้อเพียงครึ่งเดียว ขณะจำเลยไปทำการโอนนั้น โจทก์มิได้ไปด้วย เพราะโจทก์ตกลงให้จำเลยดำเนินการไปฝ่ายเดียว โดยให้ถือคำพิพากษาตามยอมเป็นเครื่องแสดงเจตนาของโจทก์ ศาลมีคำสั่งถึงอำเภอให้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินให้โจทก์ อำเภอจึงได้โอนที่ของโจทก์ให้จำเลยหมดทั้งแปลงโดยอาศัยเอกสาร จ.๖ (คือ ประกาศขายที่ดินของอำเภอซึ่งประกาศขายทั้งแปลง) ย่อมเห็นได้ว่าอำเภอโอนผิดกับคำพิพากษาท้ายยอม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผิดกับคำร้องขอขายหมาย จ.๘ ซึ่งจำเลยก็ทราบดีว่าตนซื้อเพียงครึ่งแปลง จำเลยจะยกเอาการที่อำเภอทำผิดจากคำพิพากษาท้ายยอมขึ้นอ้างไม่ได้
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยบังคับคดีได้เพียงครึ่งเดียวของที่พิพาททางทิศใต้

Share