คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์ไม่เคยรู้จักคนร้ายทั้งสองมาก่อน วันเกิดเหตุเวลากลางวันคนร้ายทั้งสองเข้ามาสั่งสุราและกระทิงแดง อย่างละหนึ่งขวดนั่งดื่ม ตามปกติอยู่ในร้านของโจทก์ร่วม ไม่มีอาวุธร้ายแรงติดตัวและยังสั่งอาหารมารับประทานอีกด้วย ขณะคนร้ายทั้งสองรับประทานอาหารก็มีลูกค้าคนอื่นเข้ามารับประทานอาหาร 1 คน และมีคนมาติดต่อธุระกับบุตรสาวของโจทก์ร่วมอีก 1 คน คนร้ายรับประทานอาหารนานประมาณ1 ชั่วโมง ไม่มีพิรุธใด ๆ ที่เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมและพยานโจทก์สนใจเป็นพิเศษกว่าลูกค้ารายอื่น ๆ ขณะเกิดเหตุ คนร้ายใช้มีดปังตอฟันโจทก์ร่วมเป็น เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นโดยรวดเร็ว เชื่อ ว่าพยานโจทก์จำคนร้ายได้เพียงคลับคล้ายคลับคลา โดยจดจำเครื่องแต่งกายเป็นหลักเมื่อดู ภาพถ่ายคนร้ายพยานโจทก์ต้องดู ภาพถ่ายถึง 3 รอบ และใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง แสดงว่าพยานไม่แน่ใจ ปรากฏว่าจำเลยได้ลาออกไปจากบริษัทที่พยานไปดู ภาพถ่ายประวัติคนงานในหลายเดือนแล้ว พยานโจทก์อาจจำคนร้ายผิดพลาดว่าเป็นจำเลยก็ได้หลังจากเกิดเหตุ ประมาณเดือนครึ่ง เจ้าพนักงานตำรวจพาพยานโจทก์ไปดู ตัวจำเลยซึ่ง บวชเป็นพระภิกษุ พยานโจทก์บางปากไม่ยอมชี้ ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย ในครั้งแรกโดยอ้างว่ากลัวบาป แสดงว่าพยานโจทก์ปากดังกล่าวไม่แน่ใจเกี่ยวกับคนร้าย หลังจากเกิดเหตุจำเลยไม่ได้หลบหนี แต่กลับมาพบเจ้าพนักงานตำรวจโดยดีและยอมให้สึกจากพระภิกษุ แสดงถึงความบริสุทธิ์ ของจำเลยคดีมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้มีดปังตอฟันนางพรพรรณหลายทีโดยเจตนาฆ่า แต่แพทย์รักษาได้ทันท่วงที นางพรพรรณจึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณานางพรพรรณ เพลินไพศาล ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 ให้จำคุกมีกำหนด 12 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความขัดแย้งแตกต่างกัน ไม่น่าจะจำคนร้ายได้พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยสามารถรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมได้นั้น เห็นว่า แม้โจทก์ร่วมนางสาวจรัญญา บุตรสาวโจทก์ร่วม นางสาวสายบัว และนางสาววิเชียร ลูกจ้างโจทก์ร่วมจะเบิกความว่า คนร้ายคนหนึ่งคือจำเลย จำเลยกับพวกแต่งกายชุดพนักงานบริษัท ช.สยามโลหะภัณฑ์ จำกัด มีเสื้อสีส้มพาดบ่า ก็ได้ความจากพยานดังกล่าวว่า ไม่เคยรู้จักคนร้ายทั้งสองมาก่อน ถ้ามิใช่ลูกค้าประจำก็จะจำไม่ได้ และตามพฤติการณ์แห่งคดีที่คนร้ายทั้งสองเข้ามาในร้านโจทก์ร่วม ก็มาสั่งสุราและกระทิงแดงอย่างละ 1 ขวดดื่มตามปกติ ไม่มีอาวุธร้ายแรงติดตัวมาด้วยแล้วยังสั่งไก่ผัดใบกะเพรามมารับประทานอีกด้วย ซึ่งขณะคนร้ายทั้งสองรับประทานอยู่นั้น ก็มีลูกค้าคนอื่นมารับประทานอาหาร 1 คน และมีคนมาติดต่อธุระกับนางสาวจรัญญาอีก 1 คน นางสาวจรัญญาทำไก่ผัดใบกะเพราเสร็จก็ขึ้นไปชั้นบนให้นางสาวสายบัวนำไปให้คนร้ายทั้งสอง ส่วนนางสาววิเชียรล้างผักอยู่หลังร้าน โจทก์ร่วมนั่งแกะถั่วลันเตาอยู่ที่โต๊ะขายของ นับแต่คนร้ายทั้งสองเข้ามาในร้านโจทก์ร่วม และรับประทานอาหารมาจนถึงเวลา 8 นาฬิกาเศษ ไม่มีพิรุธใด ๆ ที่เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมและพยานโจทก์ทั้งสี่ปากดังกล่าวสนใจเป็นพิเศษกว่าลูกค้ารายอื่น ๆ พฤติการณ์ที่คนร้ายคนหนึ่งถามโจทก์ร่วมถึงห้องน้ำโจทก์ร่วมบอกว่าอยู่ทางหลังร้าน คนร้ายนั้นก็เดินไป แล้วไปกอดและทำร้ายนางสาววิเชียรก็เป็นเหตุการณ์ที่รวดเร็ว เมื่อโจทก์ร่วมเห็นเหตุการณ์ได้บอกคนร้ายอีกคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นจำเลยให้ไปห้ามคนร้ายนี้ได้เดินไปเอามีดปังตอที่วางอยู่มาฟันโจทก์ร่วมหลายครั้งจนเลือดท่วมตัว สลบไป แล้วคนร้ายทั้งสองได้หลบหนีไป ก็เป็นเหตุการณ์โดยรวดเร็ว แม้พยานดังกล่าวจะจำคนร้ายได้ ก็เชื่อว่า จำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลา โดยจดจำเครื่องแต่งกายเป็นหลัก ดังนี้เมื่อร้อยตำรวจเอกสัมพันธ์ เบญจศิริกับพวกมาที่เกิดเหตุ ทราบถึงเครื่องแต่งกายของคนร้ายทั้งสองว่า คนร้ายทั้งสองเป็นคนงานของบริษัท ช.สยามโลหะภัณฑ์ จำกัด จึงพานางสาวจรัญญา นางสาวสายบัวนางสาววิเชียรไปดูภาพถ่ายประวัติคนงานของบริษัทดังกล่าวซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 400 ถึง 500 คน ได้ความจากนางสาวสายบัวว่า ดูรูปถ่ายอยู่ถึง 3 รอบ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง จึงชี้เอาภาพถ่ายจำเลยกับนายวีระศักดิ์ มาลาดาษ ว่าเป็นคนร้าย การดูภาพถ่ายถึง 3 รอบและนานถึง 2 ชั่วโมงเช่นนี้ แสดงว่าพยานดังกล่าวไม่แน่ใจ หากจำได้แม่นยำดูครั้งแรกก็ควรจะสามารถชี้ได้ ทั้งปรากฏว่าจำเลยได้ลาออกจากบริษัทดังกล่าวไปหลายเดือนแล้ว พยานดังกล่าวอาจจำคนร้ายผิดพลาดว่าเป็นจำเลยก็ได้ หลังจากนั้นอีกเดือนหนึ่งเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจพานางสาวสายบัว และนางสาวจรัญญาไปดูตัวจำเลยซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดบางหญ้าแพรก นางสาวสายบัวไม่ยอมชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายในครั้งแรก อ้างว่ากลัวบาป ยิ่งแสดงว่านางสาวสายบัวไม่แน่ใจ ทั้งปรากฏว่าจำเลยได้ออกมาพบนางสาวสายบัวและเจ้าพนักงานตำรวจถึงสองครั้งคือทั้งตอนเช้าและตอนเพล จำเลยได้บอกแก่นางสาวสายบัวและเจ้าพนักงานตำรวจว่าวันเวลาที่เกิดเหตุ จำเลยทำงานอยู่ในโรงงานบริษัท ยู ซี เอ จำกัด ที่ซอยวัดกิ่งแก้ว หากจำเลยเป็นคนร้ายจริงก็น่าจะหลบหนีไปเสียแต่ตอนเช้าหลังจากนางสาวสายบัวและเจ้าพนักงานตำรวจกลับไป หรือเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจพานางสาวสายบัวมาดูตัวครั้งที่สอง จำเลยก็น่าจะหลบหนีไปเสียก่อนได้ แต่จำเลยกลับมาพบเจ้าพนักงานตำรวจโดยดี และยอมให้สึกจากพระภิกษุ แสดงถึงความบริสุทธิ์ของจำเลย ข้ออ้างถึงฐานที่อยู่ของจำเลย จำเลยก็บอกแก่เจ้าพนักงานตำรวจเมื่อไปดูตัวครั้งแรกและปฏิเสธตลอดมา ในชั้นพิจารณานอกจากจำเลยอ้างตนเองเบิกความยืนยันแล้ว จำเลยมีนางสาวธนาพรศิริวงษ์ชัย เสมียนของนายทองใบ โพธิ์ทอง ผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงานบริษัท ยู ซี เอ จำกัด นายอโนทัย ศรีหิรัญ นายวีระศักดิ์ดอนขาวไพร (คนละคนกับนายวีระศักดิ์ มาลาดาษ ซึ่งทำงานอยู่บริษัท ช.สยามโลหะภัณฑ์ จำกัด) คนงานของนายทองใบมาเบิกความเป็นพยานและมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายสมปอง โพธิ์ทองน้องชายของนายทองใบ โพธิ์ทอง เจ้าของผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงาน บริษัท ยู ซี เอจำกัด เอกสารหมาย ล.3 กับมีสมุดการทำงาน การจ่ายเงิน เอกสารหมาย ล.1และสมุดพกการคุมเวลาการทำงาน เอกสารหมาย ล.2 มาแสดงเป็นหลักฐานว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยทำงานในงานก่อสร้างโรงงานบริษัท ยู ซี เอ จำกัดในซอยวัดกิ่งแก้ว ซึ่งพยานจำเลยดังกล่าวล้วนแต่เป็นคนภายนอก หากไม่เป็นความจริง คงไม่กล้ามาเบิกความต่อศาล ส่วนเอกสารหมาย ล.1 ถึงล.2 ก็ล้วนแต่เป็นพยานหลักฐานน่าเชื่อถือ เพราะมีสภาพเป็นเล่มเก่าและมีรายชื่อจำเลย พยานจำเลยและคนงานอื่นเกือบ 100 คน แสดงการมาทำงานและลงชื่อรับเงินไว้ด้วย ไม่มีสภาพทำขึ้นภายหลังเพื่อช่วยเหลือจำเลย เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมกับพยานหลักฐานจำเลยแล้ว คดีจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share