คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาซื้อขายขอเรียกเงินคืนศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ต้องส่งหนังสือบอกกล่าวถึงจำเลยตามข้อสัญญาพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือถึงจำเลยก่อนบอกเลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญาจึงไม่ชอบ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ เท่ากับประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยถึงที่สุด และเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้วโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายโดยอ้างว่าโจทก์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือถึงจำเลยทราบก่อนบอกเลิกสัญญา อันเป็นการฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาโดยอ้างเหตุขึ้นใหม่ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2536 โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับจำเลยในโครงการคอนโดมิเนียมทรงอิสระ อาคารเลขที่ 608 ชั้น 4 ห้องชุดเลขที่ ดี เนื้อที่ประมาณ 60 ตารางเมตร ราคา 880,000 บาท จำเลยตกลงจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2538 โจทก์ทั้งสองชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าจอง 5,000 บาทชำระในวันทำสัญญา 83,800 บาท และผ่อนชำระเงินดาวน์ 12 งวด เป็นเงิน 110,000บาท รวมเป็นเงิน 199,800 บาท จำเลยก่อสร้างคอนโดมิเนียมไม่แล้วเสร็จ โดยหยุดก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2537 โจทก์ทั้งสองเร่งรัดให้จำเลยดำเนินการต่อไป โดยบอกกล่าวเป็นหนังสือให้จำเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 เดือนแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ทั้งสองจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาให้จำเลยคืนเงิน แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ทั้งสองคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยรับเงินไปแต่ละครั้งจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 93,744.17 บาท รวมเป็นเงิน 293,544.17บาท ขอบังคับจำเลยให้ชำระเงิน 293,544.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงิน 199,800 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยให้การว่า เดิมโจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 3111/2540 หมายเลขแดงที่ 24268/2540 โดยกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญา ไม่ดำเนินการก่อสร้างคอนโดมิเนียมให้แล้วเสร็จตามที่ตกลงกัน และให้จำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์ทั้งสอง อันเป็นคำฟ้องที่มีเนื้อหาและประเด็นอย่างเดียวกับคดีนี้และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 293,544.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 199,800 บาท นับจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายเพียงประการเดียวว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาซื้อขาย เรียกเงินคืน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ทั้งสองมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โดยไม่ต้องส่งหนังสือบอกกล่าวถึงจำเลยไม่น้อยกว่า 3 เดือน ตามข้อสัญญา พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองตามคดีหมายเลขดำที่ 3111/2540 หมายเลขแดงที่ 24268/2540 ของศาลชั้นต้นจำเลยอุทธรณ์ประการหนึ่งว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือถึงข้อที่จำเลยไม่สามารถทำการก่อสร้างอาคารชุดหรือห้องชุดให้จำเลยทราบก่อนบอกเลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญาของโจทก์ทั้งสองจึงไม่ชอบพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โดยยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ เท่ากับประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยถึงที่สุด และเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว โจทก์ทั้งสองได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาภายใน 3 เดือน แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ทั้งสองจึงบอกเลิกสัญญาและฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายโดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองได้บอกกล่าวเป็นหนังสือถึงข้อที่จำเลยไม่สามารถทำการก่อสร้างอาคารชุดหรือห้องชุดให้จำเลยทราบก่อนบอกเลิกสัญญาตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 อันเป็นการฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาโดยอ้างเหตุขึ้นใหม่ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ศาลล่างทั้งพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share