แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 47 เป็นเพียงการกำหนดวิธีการและหน้าที่ของนายจ้างที่จะดำเนินการนำส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนและในส่วนของนายจ้างแก่สำนักงานประกันสังคมว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร และยังบัญญัติให้นายจ้างมีอำนาจที่จะหักค่าจ้างของลูกจ้างอันเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ทั้งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็หามีบทบัญญัติใดที่พอจะแปลว่าเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนจะต้องเป็นเงินที่หักมาจากค่าจ้างของผู้ประกันตนเพียงประการเดียวเท่านั้น หากนายจ้างส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนนอกจากค่าจ้างของผู้ประกันตนแล้วจะเป็นเหตุให้ผู้ประกันตนมิได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุนประกันสังคมตามมาตรา 54 แต่อย่างใดไม่ เมื่อนายจ้างส่งเงินสมทบในส่วนของ ท. ลูกจ้างถึงเดือนกันยายน 2544 แม้จะเป็นเงินของนายจ้าง มิใช่เป็นเงินที่หักมาจากค่าจ้างของ ท. โดยมีเจตนาที่จะช่วยเหลือ ท. ให้ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลตามสิทธิอันเป็นการแสดงถึงความเอื้ออาทรของนายจ้างต่อลูกจ้าง จึงหาใช่เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ เมื่อ ท. ถึงแก่ความตายในวันที่ 2 มกราคม 2545 ย่อมเป็นกรณีที่ ท. ได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือนภายในระยะเวลาหกเดือนก่อนถึงแก่ความตาย โจทก์ผู้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ท. ย่อมมีสิทธิได้ประโยชน์ทดแทนในกรณีตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 843/2545 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2545 กับให้จำเลยจ่ายเงินค่าทำศพแก่โจทก์ตามกฎหมายพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2545 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 843/2545 และให้จำเลยจ่ายเงินค่าทำศพเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2545 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายเทียนทอง ลำเทียน ผู้ประกันตน นายเทียนทองเป็นลูกจ้างของบริษัทศรีสยามบอดี้พาร์ท จำกัด นายจ้าง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 นายเทียนทองเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารที่โรงพยาบาลตามสิทธิและถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2545 โดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน นายเทียนทองมิได้ไปทำงานให้นายจ้างเนื่องจากเจ็บป่วย แต่นายจ้างยังคงนำส่งเงินสมทบทั้งส่วนของนายจ้างและของนายเทียนทองให้แก่จำเลยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2544 เรื่อยมาจนถึงเดือนกันยายน 2544 โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีตายเป็นค่าทำศพ ซึ่งหากโจทก์มีสิทธิได้รับจะเป็นเงินประมาณ 30,000 บาท สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 3 และคณะกรรมการอุทธรณ์มีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทำศพ ดังนี้ เห็นว่า บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 47 เป็นเพียงการกำหนดวิธีการและหน้าที่ของนายจ้างที่จะดำเนินการนำส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนและในส่วนของนายจ้างแก่สำนักงานประกันสังคมว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร และยังบัญญัติให้นายจ้างมีอำนาจที่จะหักค่าจ้างของลูกจ้างอันเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ทั้งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็หามีบทบัญญัติใดที่จะพอแปลว่าเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนจะต้องเป็นเงินที่หักมาจากค่าจ้างของผู้ประกันตนแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น หากนายจ้างส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนนอกจากค่าจ้างของผู้ประกันตนแล้วจะเป็นเหตุให้ผู้ประกันตนมิได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุนประกันสังคมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 54 แต่อย่างใดไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังเป็นยุติได้ความว่า นายจ้างได้ส่งเงินสมทบในส่วนของนายเทียนทองถึงเดือนกันยายน 2544 แม้จะเป็นเงินของนายจ้าง มิใช่เป็นเงินที่หักมาจากค่าจ้างของนายเทียนทอง โดยมีเจตนาที่จะช่วยเหลือนายเทียนทองให้ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลตามสิทธิอันเป็นการแสดงถึงความเอื้ออาทรของนายจ้างต่อลูกจ้าง จึงหาใช่เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ไม่ เมื่อนายเทียนทองถึงแก่ความตายในวันที่ 2 มกราคม 2545 ย่อมเป็นกรณีที่นายเทียนทองได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือนภายในระยะเวลาหกเดือนก่อนถึงแก่ความตาย โจทก์ผู้เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายเทียนทองย่อมมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีตายเป็นเงินค่าทำศพจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไปดังคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลาง อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.