คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4883/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริง และปัญหาข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมที่ ๑ และที่ ๒ ไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกนายประภาส อินทรกำแหง นางประยูรศรี อินทรกำแหง และนายอภิสิทธิ์ อินทรกำแหง ว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และ จำเลยที่ ๓ ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๘๓ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกัน คืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน รวม ๑,๖๕๔,๔๐๕ บาท
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัท ช. ศิริภักดี จำกัด และนายดำรง ภักดีมงคล ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เรียกว่า โจทก์ร่วมที่ ๑ และที่ ๒ ตามลำดับทั้งสามสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
โจทก์ร่วมที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและ ปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมที่ ๑ และที่ ๒ ไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ร่วมที่ ๑ และที่ ๒

Share