คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4873/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การพิจารณาเรื่องอำนาจฟ้องต้องพิจารณาในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาล
โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาล เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีแสดงความตกลงด้วยการเคาะไม้ โจทก์ย่อมได้สิทธิในทรัพย์ดังกล่าวโดยบริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 แม้ภายหลังจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 และ 309 ทวิ และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่ตราบใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด สิทธิของโจทก์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็ยังคงบริบูรณ์อยู่ คำร้องขอให้เพิกถอนการขาดทอดตลาดของจำเลยไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไป ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 11794, 11785 และ 11786 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในราคา 3,000,000 บาท ซึ่งเดิมจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และจำเลยยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยและบริวารอาศัยอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวอีกต่อไป จึงมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปแต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ในการนำทรัพย์สินออกให้เช่าเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันที่โจทก์จดทะเบียนการได้มาถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 เดือน รวมเป็นเงิน 28,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 28,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 4,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยพร้อมบริวารจะออกไปจากทรัพย์สินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องยังเป็นของจำเลย โจทก์ซื้อจากการขายทอดตลาดและจดทะเบียนสิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยได้ร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนการขายทอดตลาด คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ได้ละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริเวณขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11784, 11785 และ 11786 ตำบลหมื่นไวย์ (ในเมือง) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารเลขที่ 873 ถนนช้างเผือก 3 (ที่ถูก ซอย 3) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ทั้งส่งมอบคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันที่ 5 มกราคม 2547 จนกว่าจำเลยพร้อมบริวารจะส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุธรณ์ 800 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทนั้น จะทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4153/2542 ของศาลชั้นต้น และได้จดทะเบียนรับโอนต่อเจ้าพนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว จำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว และในการขายทอดตลาดนั้น จำเลยคดีนี้และจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวได้ร้องคัดค้านการขายทอดตลาดอ้างว่าขายในราคาต่ำเกินสมควรขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยคดีนี้และจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวอุทธรณ์ และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก่อนฟังคดีนี้โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทแล้ว แต่จำเลยและบริวารไม่ยอมออก ดังนี้เห็นว่า การพิจารณาเรื่องอำนาจฟ้องต้องพิจารณาในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาล คดีนี้โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาล เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ขายทอดตลาดแสดงความตกลงด้วยการเคาะไม้ โจทก์ย่อมได้สิทธิในทรัพย์พิพาทโดยบริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 อันเป็นกฎหมายสารบัญญัติ แม้ภายหลังจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 และ 309 ทวิ ซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด สิทธิของโจทก์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทก็ยังคงบริบูรณ์อยู่ คำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีสบัญญัติของจำเลยไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายสารบัญญัติ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทแล้ว จำเลยและบริวารไม่ยอมออกไป การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากทรัพย์พิพาทได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 800 บาท แทนโจทก์

Share