คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4869/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีเวลาบังคับคดีนานถึง 10 ปี และโจทก์เคยขอให้ศาลออกคำบังคับมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่สนใจที่จะนำส่งจนเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีส่งคำบังคับคืนศาลชั้นต้น หลังจากนั้นโจทก์ได้ขอตรวจสำนวนหลายครั้งแต่มิได้ขอให้ดำเนินการบังคับ คงปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป9 ปีเศษ จนเหลือเวลาอีก 3 เดือนจะครบกำหนด 10 ปีจึงมาขอให้ส่งบังคับอีก แม้การส่งคำบังคับครั้งหลังดังกล่าวจะมีเหตุขัดข้องล่าช้าอยู่บ้าง แต่เมื่อคำนึงถึงการที่โจทก์ไม่นำส่งคำบังคับในครั้งแรกตั้งแต่ปี 2529และปล่อยเวลาล่วงเลยมานาน 9 ปีเศษ จึงมาขอส่งคำบังคับใหม่เมื่อใกล้จะครบกำหนด 10 ปี นับได้ว่าเป็นความบกพร่องของโจทก์มาแต่แรกจึงถือไม่ได้ว่าเหตุตามคำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์เป็นพฤติการณ์พิเศษที่ทำให้โจทก์ขอให้บังคับคดีไม่ทันภายใน 10 ปี ที่จะขยายระยะเวลาให้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2529 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องจำนวน301,868.40 บาท กับดอกเบี้ยและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ คดีถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 7 มิถุนายน 2539 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาบังคับคดีออกไปเป็นเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2539 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเหตุที่ยกขึ้นอ้างมิใช่พฤติการณ์พิเศษ ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2529 คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์แถลงขอให้ออกคำบังคับแล้วแต่มิได้นำส่งต่อมาวันที่ 7 มิถุนายน 2539 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการบังคับคดีอีก 60 วัน นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2539
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า มีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลาการบังคับคดีตามคำร้องของโจทก์หรือไม่เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2529 หลังจากคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์ได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับมาครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2529 แต่โจทก์มิได้สนใจนำส่งคำบังคับเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีต้องรายงานส่งคำบังคับคืนศาลชั้นต้นหลังจากนั้นโจทก์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป 9 ปีเศษจนวันที่ 8 พฤศจิกายน 2538 โจทก์ยื่นคำแถลงขอตรวจสำนวนเพื่อการบังคับคดีต่อไป แต่ก็มิได้ดำเนินการใด ต่อมาอีก 3 เดือนเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 โจทก์ขอตรวจสำนวนเพื่อการบังคับคดีอีก ครั้งถึงวันที่ 21 มีนาคม 2539 โจทก์จึงยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลได้ออกคำบังคับให้แล้วให้โจทก์นำส่งตามที่สั่งไว้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2529 จนกระทั่งวันที่ 7 มิถุนายน 2539 เกือบจะครบเวลา 10 ปี โจทก์จึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาบังคับคดีโดยอ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นเพิ่งสั่งคำขอของโจทก์ที่ขอส่งคำบังคับดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2539 เนื่องจากมีการเสนอสำนวนล่าช้าและพนักงานศาลปลดคำบังคับจากสำนวนในวันที่ 25 เมษายน 2539ทำให้โจทก์ไม่สามารถทำการบังคับคดีทันกำหนด 10 ปี ขอขยายระยะเวลาการบังคับคดีไปอีก 60 วัน นับแต่วันครบกำหนด 10 ปี กรณีเห็นได้ว่าโจทก์มีเวลาบังคับคดีนานถึง 10 ปี ทนายโจทก์เป็นทนายคนเดิมตั้งแต่ต้น โจทก์เคยขอให้ศาลออกคำบังคับมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2529 แต่ไม่สนใจที่จะนำส่งจนเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีส่งคำบังคับคืนศาลชั้นต้น หลังจากนั้นโจทก์ได้ขอตรวจสำนวนหลายครั้งแต่มิได้ขอให้ดำเนินการบังคับแต่อย่างใด ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป 9 ปีเศษ จนเหลือเวลาอีก 3 เดือน จะครบกำหนด10 ปี จึงมาขอให้ส่งบังคับอีก ครั้นเมื่อจวนจะครบกำหนดระยะเวลา10 ปี ก็ร้องขอขยายระยะเวลา ดังนี้ แม้การส่งคำบังคับครั้นหลังดังกล่าวจะมีเหตุขัดข้องล่าช้าอยู่บ้าง แต่เมื่อคำนึงถึงการที่โจทก์ไม่นำส่งคำบังคับในครั้งแรกตั้งแต่ปี 2529 และปล่อยเวลาล่วงเลยมานาน 9 ปีเศษ จึงมาขอส่งคำบังคับใหม่เมื่อใกล้จะครบกำหนด10 ปี นับได้ว่าเป็นความบกพร่องของโจทก์มาแต่แรกจึงถือไม่ได้ว่าเหตุตามคำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์เป็นพฤติการณ์พิเศษที่ทำให้โจทก์ขอให้บังคับคดีไม่ทันภายใน 10 ปี ที่จะขยายระยะเวลาให้
พิพากษายืน

Share