คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4865/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ข้อ (41) ให้เช่า ให้เช่าซื้อ ซึ่งทรัพย์สินใด ๆ ตามหนังสือรับรองของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ดังนั้น การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจึงอยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ ธุรกิจของโจทก์มิใช่การจัดหามาซึ่งเงินทุนและใช้เงินนั้นในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความหมายของ “ธุรกิจเงินทุน” ตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 4(1) ถึง (5) ทั้งการประกอบธุรกิจเงินทุนจะกระทำได้ต่อเมื่อได้จัดตั้งในรูปบริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด และได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจเงินทุน ฯ เท่านั้น ดังนั้นการดำเนินธุรกิจของโจทก์จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการให้เช่าซื้อสังหาริมทรัพย์บางประเภทของบริษัทเงินทุนในการประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการจำหน่ายและการบริโภคที่ออกตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 ข้อ 3 (7) ก. ที่จะต้องมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อที่ผิดนัดไม่ใช้เงินรายงวดสองงวดติด ๆ กันให้ใช้เงินรายงวดที่ค้างชำระภายในเวลาอย่างน้อย 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือก่อน เมื่อไม่ปฏิบัติตามจึงจะริบเงินที่ชำระแล้วและกลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 13 เป็นต้นมา สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีตามข้อตกลงในสัญญาข้อ 10 โจทก์ไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาอีก โจทก์มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 3,700,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,271,028.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายเดือนละ 126,168.23 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนแก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์หมายเลขเครื่อง 104944-22-014717 หมายเลขตัวถัง 140028-2 เอ-300533 คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากใช้คืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 2,800,000 บาท และให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 702,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระค่าเสียหายให้โจทก์ต่อไปอีกเดือนละ 39,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนจนเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์หมายเลขเครื่อง 104944-22-014717 หมายเลขตัวถัง 140028-2 เอ-300533 จากโจทก์ราคา 4,542,056.28 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือนรวม 36 งวด งวดละ 126,168.23 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 1 มิถุนายน 2539 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์รวม 12 งวด ผิดนัดชำระตั้งแต่งวดที่ 13 ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2540 เป็นต้นมา แต่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน โจทก์มีหนังสือแจ้งยืนยันการบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วเพิกเฉย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ประกอบธุรกิจเช่นเดียวกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อจะต้องมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ใช้เงินเป็นรายงวดที่ค้างชำระภายในเวลาอย่างน้อย 30 วันก่อน ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย สัญญาเช่าซื้อข้อ 10 ขัดต่อประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเป็นโมฆะ เห็นว่า บริษัทโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ข้อ (41) ให้เช่า ให้เช่าซื้อ ซึ่งทรัพย์สินใด ๆ ตามหนังสือรับรองของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงอยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ และธุรกิจของโจทก์ก็ไม่ใช่ธุรกิจการจัดหามาซึ่งเงินทุนและใช้เงินนั้นในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจำแนกประเภทได้ดังต่อไปนี้ (1) กิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ (2) กิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา (3) กิจการลงทุนเพื่อการจำหน่ายและการบริโภค (4) กิจการเงินทุนเพื่อการเคหะ (5) กิจการลงทุนอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ตามความหมายของ “ธุรกิจเงินทุน” ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 4 นอกจากนี้การประกอบธุรกิจเงินทุนจะกระทำได้ต่อเมื่อได้จัดตั้งในรูปบริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด และโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี ตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการกระกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 ดังนั้น การดำเนินธุรกิจของโจทก์จึงไม่เข้าลักษณะการประกอบธุรกิจเงินทุนที่จะต้องอยู่ภายใต้บังคับของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการให้เช่าซื้อสังหาริมทรัพย์บางประเภทของบริษัทเงินทุนในการประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการจำหน่ายและการบริโภคที่ออกตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 ข้อ 3(7) ก. กรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินรายงวดสองงวดติด ๆ กัน บริษัทเงินทุนจะเลิกสัญญาเช่าซื้อริบเงินที่ได้ชำระแล้วและกลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ต่อเมื่อบริษัทเงินทุนมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ใช้เงินรายงวดที่ค้างชำระภายในเวลาอย่างน้อย 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือและไม่ปฏิบัติตามดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 13 เป็นต้นมา สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีตามข้อตกลงในสัญญาข้อ 10 โจทก์ไม่จำต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาอีก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น มีปัญหาวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายสูงเกินไปหรือไม่ เห็นว่า รถยนต์คันพิพาทเป็นรถยนต์ใหม่ มีราคาสูง จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อ ให้โจทก์เพียง 12 งวด ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เดือนละ 39,000 บาท เป็นเวลา 18 เดือน เป็นเงิน 702,000 บาท และค่าเสียหายเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องเดือนละ 39,000 บาท จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อแต่ไม่เกิน 12 เดือน นั้น เหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share