แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจทำการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองเพื่อเป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามข้อตกลงในการประนอมหนี้ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบแล้วได้ แม้ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายและให้จำเลยมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังต้องมีอำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามข้อตกลงในการประนอมหนี้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลย (ลูกหนี้) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2523 และพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2524 ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เป็นเงิน97,068,471.20 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามที่ขอศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนวน 97,068,471.20 บาทเต็มตามคำขอโดยให้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองซึ่งมีที่ดินมีโฉนด 3 โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรต่าง ๆ ของจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจำนองก่อน ตามมาตรา 96(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483หากยังขาดอีกเท่าไร ก็ให้ได้รับชำระหนี้โดยส่วนเฉลี่ยจากกองทรัพย์สินของจำเลยตามมาตรา 130(8) ตามคำพิพากษาศาลฎีกาผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องให้งดการบังคับคดีและยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงขอให้สั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ดำเนินการยึดทรัพย์จำนองของจำเลยและขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินชำระหนี้ผู้ร้องตามคำพิพากษาศาลฎีกา และตามที่จำเลยได้ขอประนอมหนี้ไว้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลาย ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ภายหลังล้มละลาย และสั่งยกเลิกการล้มละลายกับให้จำเลยมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของตน ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 63 ต่อไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจดำเนินการใด ๆ นอกเหนือไปจากที่ได้กำหนดไว้ในการประนอมหนี้ภายหลังล้มละลาย ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิที่จะให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองได้ขอให้ยกคำร้อง
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า ภายหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยการขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลาย และยกเลิกการล้มละลายกับให้จำเลยมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของตนได้ตามมาตรา 63แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 แล้ว คำสั่งของศาลที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยก็ถูกเพิกถอนไปด้วยในตัว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจที่จะยึดที่ดินและเครื่องจักรตามคำร้องของผู้ร้องได้ และคดีนี้ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งปิดคดี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมีอำนาจและหน้าที่ที่จะรวบรวมเงินที่ค้างชำระอยู่มาจัดการแบ่งเฉลี่ยให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ได้ จำเลยจึงมีความรับผิดเพียงจำนวนร้อยละ 15 ตามที่ที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้วเท่านั้นและเงินจำนวนนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้นัดหมายให้จำเลยนำไปชำระงวดแรกจำนวน 5,586,437.09 บาท ซึ่งจำเลยได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่24 มกราคม 2532 ผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะเอาทรัพย์จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้อีก ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมิได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน การดำเนินการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้รายนี้จึงยังไม่เสร็จสิ้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมีอำนาจในการขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งเป็นหลักประกันอยู่ กรณีมิใช่เป็นเรื่องอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483แต่ประการใด จึงมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการขายทอดตลาดจำนองเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้อง (เจ้าหนี้)หากยังขาดอยู่อีกเท่าใด คือจำนวนที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด เจ้าหนี้ของจำเลยหลายร้อยรายรวมทั้งผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันเพียงรายเดียวยื่นคำรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เสนอต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอรับชำระหนี้และยกคำขอตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยจำเลยและเจ้าหนี้มิได้โต้แย้งและมีเจ้าหนี้หลายรายขอถอนคำขอรับชำระหนี้ส่วนคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังสอบสวนไม่เสร็จ หลังจากศาลชั้นต้นไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยแล้วได้พิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยยื่นคำขอประนอมหนี้หลังล้มละลาย ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยและให้ยกเลิกการล้มละลาย กับให้จำเลยมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับทรัพย์ต่อไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามคำขอประนอมหนี้ ขอให้มีคำสั่งยกเลิกการประนอมหนี้ภายหลังล้มละลาย และพิพากษาให้จำเลยล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 60 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยยื่นคำขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายครั้งที่สอง ที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ลงมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการขอประนอมหนี้และสั่งยกเลิกการล้มละลายกับให้จำเลยมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของตนตามพระราชบัญญัติล้มละลายต่อไป สำหรับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำความเห็นเสนอต่อศาลชั้นต้น เห็นควรอนุญาตให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันได้รับชำระหนี้ จำนวน 97,068,471.20 บาทตามคำขอรับชำระหนี้ โดยให้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยตามสัญญาจำนองก่อน หากยังขาดอยู่อีกเท่าไรให้ได้รับชำระหนี้ โดยส่วนเฉลี่ยจากกองทรัพย์สินของจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ คดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์ที่จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้
คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาว่า ในกรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่จำนองเป็นประกันหนี้แก่ผู้ร้องได้หรือไม่ ปรากฏตามคำขอประนอมหนี้ของจำเลยครั้งแรกลงวันที่ 11 มิถุนายน 2525 และคำแถลงเพิ่มเติมของจำเลยในที่ประชุมเจ้าหนี้เมื่อวันที่ 14 เดือนเดียวกันว่าจำเลยจำขอชำระหนี้เป็นจำนวนร้อยละ 15 ของยอดหนี้ทั้งหมดที่ไม่มีประกันโดยยอดหนี้ทั้งหมดให้รวมหนี้ส่วนที่เกินจากหนี้จำนองจำนวนเจ็ดสิบล้านบาท (ประมาณยี่สิบเจ็ดล้านบาท) ของผู้ร้องด้วย กล่าวคือจำนวนหนี้ที่ไม่มีประกันที่เกินเจ็ดสิบล้านบาท จำเลยยอมชำระร้อยละ15 หากว่ามีการบังคับจำนองทรัพย์อันเป็นหลักประกันแล้วขาดอยู่เท่าไรเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ร้อยละ 15 ของส่วนที่ยังขาดอยู่โดยขอแบ่งชำระเป็น 3 งวด ฯลฯ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ตรวจสัญญาจำนองที่ดินและเครื่องจักรของจำเลยแล้วเป็นเงินเจ็ดสิบล้านบาทหนี้ในส่วนที่ขาดจึงเป็นเงิน 27,068,471.20 บาท แม้คำขอประนอมหนี้ดังกล่าวจะถูกศาลชั้นต้นสั่งยกเลิกไปและพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้วแต่จำเลยก็ก็ยื่นคำขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายเป็นครั้งที่สองลงวันที่ 2 เมษายน 2528 โดยระบุในคำขอประนอมหนี้ว่า จำเลยยอมชำระบรรดาหนี้ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระแล้วเป็นจำนวนร้อยละ 15 กำหนดชำระเป็น 3 งวด ฯลฯ ผู้แทนผู้ร้องได้แถลงในที่ประชุมเจ้าหนี้ว่า ศาลได้มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้เป็นเงิน97,068,471.20 บาท โดยให้ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาจำนองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96(3) ก่อน หากยังขาดอีกเท่าไรจึงให้ได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130(8) แต่คดียังไม่ถึงที่สุดเพราะจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้มีมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้ดังกล่าว และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยและสั่งยกเลิกการล้มละลายแล้วแม้คำขอประนอมหนี้ครั้งที่สองของจำเลยจะมิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าจำเลยขอชำระหนี้ที่ไม่มีประกันร้อยละ 15 ส่วนหนี้ที่มีประกันจำเลยยอมให้เจ้าหนี้บังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์จำนองก่อน สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่จำเลยจะขอชำระร้อยละ 15 เหมือนดังคำขอประนอมหนี้ครั้งแรกดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำขอประนอมหนี้ทั้งสองครั้งกระทำโดยจำเลยในคดีล้มละลายเรื่องเดียวกันเพื่อขอประนอมหนี้ในหนี้จำนวนเดียวกัน เมื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ทั้งสองครั้งประกอบกันแล้ว จะเห็นได้ว่าจำเลยมีความประสงค์จะขอประนอมหนี้เฉพาะหนี้ที่ไม่มีประกันเป็นจำนวนร้อยละ 15 ของหนี้ทั้งหมดส่วนหนี้ที่มีประกันจำเลยก็ยินยอมให้เจ้าหนี้บังคับเอาแก่ทรัพย์ที่เป็นหลักประกันก่อน หากยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร จำเลยจึงขอชำระหนี้ร้อยละ 15 ของจำนวนที่ขาด และคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน 97,068,471.20 บาทโดยให้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาจำนองก่อนหากยังขาดอีกเท่าใดให้ได้รับชำระหนี้ โดยส่วนเฉลี่ยจากกองทรัพย์สินของจำเลย ดังนั้น การขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองจึงเป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามข้อตกลงในการประนอมหนี้ซึ่งศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจที่จะกระทำได้ การที่ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายและให้จำเลยมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนนั้น มิได้หมายความว่าอำนาจจัดการทรัพย์สินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้สิ้นสุดลงโดยสิ้นเชิงดังคำแก้ฎีกาของจำเลย เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังต้องมีอำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามข้อตกลงในการประนอมหนี้ดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลย เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องหากยังขาดอยู่เท่าใดให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ของจำเลย ที่ศาลเห็นชอบด้วยแล้ว