คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 486/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินตามจำนวนที่ต้องชำระตามฟ้องมาส่งศาลเพื่อนำฝากประจำที่ธนาคาร และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 จนกว่าคดีถึงที่สุดหรือมีคำสั่งศาลเป็นอย่างอื่น ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินไม่เต็มตามฟ้องแก่โจทก์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ว่ามีความจำเป็นและประสงค์จะนำเงินที่นอกเหนือไปจากการคุ้มครองประโยชน์ไปใช้จ่ายคำร้องนี้ถือเป็นคำร้องอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264ไม่ใช่เรื่องการขอทุเลาการบังคับตามมาตรา 231 ดังนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง จึงไม่เป็นการสั่งในเรื่องการทุเลาการบังคับ และไม่เป็นคำสั่งระหว่างการพิจารณา จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา 228(2),247 การที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระเงินเต็มตามฟ้อง ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่ยอมรับยังคงอุทธรณ์กันอยู่ ถือว่ายอดหนี้ยังไม่ยุติ การที่ศาลให้ฝากเงินไว้ต่อไปก็คงเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดิมกรณีไม่ถือว่าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่อาศัยเป็นหลักในการมีคำสั่งเกี่ยวกับการกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณาเปลี่ยนแปลงไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 262 และเมื่อคดีปรากฏด้วยว่า ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับโดยมีเงื่อนไขว่าห้ามจำเลยถอนเงินจากธนาคารระหว่างอุทธรณ์ การที่จำเลยขอนำเงินฝากจากธนาคารไปใช้จ่ายจึงเท่ากับขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของการทุเลาการบังคับที่ได้เคยมีคำสั่งไว้ ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยจึงชอบแล้ว.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 246,531.15 บาท และให้จำเลยในฐานะส่วนตัวชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 171,044.90 บาทคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์ทั้งสองและจำเลยต่างอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับโดยห้ามจำเลยถอนเงินฝากที่ธนาคารออมสิน สาขายุติธรรมจำนวน 1,719,509.30 บาท ไว้ในระหว่างอุทธรณ์
คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องว่ามีความจำเป็นและประสงค์จะนำเงินฝากธนาคารที่นอกเหนือไปจากการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ไปใช้จ่ายเกี่ยวกับการค้าขายและได้ดอกผลขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งตามคำแถลงของจำเลยขอให้คืนเงินคุ้มครองประโยชน์ ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2531 ที่เคยยื่นไว้ต่อศาลชั้นต้น ให้แก่จำเลยศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว สมควรวินิจฉัยปัญหาตามคำแก้ฎีกาของโจทก์เสียก่อนว่า จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์เพราะเป็นการสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับและเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งจำเลยนำเงินจำนวน1,719,509.74 บาทส่งศาลเพื่อนำฝากประจำที่ธนาคารออมสิน สาขายุติธรรมมีกำหนดคราวละ 1 ปี จนกว่าคดีจะถึงที่สุดฝ่ายใดชนะคดีให้รับเงินไปได้ และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาตามคำพิพากษาฎีกาที่ 316/2531ให้บังคับคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้นว่า อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ให้จำเลยนำเงินจำนวน1,719,509.74 บาท มาฝากไว้กับธนาคารออมสิน สาขายุติธรรม ภายใน15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ส่วนจะฝากประเภทใดให้อยู่ในดุลพินิจของจำเลย ทั้งนี้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือมีคำสั่งศาลเป็นอย่างอื่น เมื่อคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด และไม่ปรากฏว่าศาลได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่นแล้วอย่างไร การที่จำเลยยื่นคำร้องว่ามีความจำเป็นและประสงค์จะนำเงินที่นอกเหนือไปจากการคุ้มครองประโยชน์ไปใช้จ่ายต่อศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นคำร้องอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264ข้างต้น ไม่ใช่เรื่องการขอทุเลาการบังคับตามมาตรา 231 ดังนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง จึงไม่เป็นการสั่งในเรื่องการทุเลาการบังคับและไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา 228(2), 247
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระเงินเต็มตามฟ้อง จะถือว่าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ศาลอาศัยเป็นหลักในการมีคำสั่งอนุญาตเปลี่ยนแปลงไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 262 ดังที่จำเลยฎีกาหรือไม่ เห็นว่า การมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณาในคดีนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่กองมรดกและประกันว่าโจทก์จะได้รับชำระเงินตามฟ้อง ดังนั้นเพียงแต่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระเงินเต็มตามฟ้องซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่ยอมรับ ยังคงอุทธรณ์กันอยู่ จึงถือว่าตัวยอดหนี้ยังไม่ยุติ การที่ศาลให้ฝากเงินไว้ต่อไปก็คงเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดิมไม่ถือว่าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ศาลอาศัยเป็นหลักในการมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งคดียังปรากฏด้วยว่าศาลอุทธรณ์ได้อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับโดยมีเงื่อนไขว่าห้ามจำเลยถอนเงินฝากที่ธนาคารออมสิน สาขายุติธรรม จำนวน 1,719,509.32 บาท ไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ฉะนั้น การที่จำเลยมายื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอนำเงินฝากจากธนาคารไปใช้จ่ายจึงเท่ากับเป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของการทุเลาการบังคับที่ศาลอุทธรณ์ได้เคยมีคำสั่งไว้ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องจำเลยจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share