คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4858/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความตกลงท้ากันว่าหากมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาซึ่งจำเลยคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยคดีนี้ยอมแพ้หากคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง โจทก์คดีนี้ยอมแพ้ คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ปรากฏว่าในคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยศาลฎีกายกฟ้องโจทก์เพราะฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โดยไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่ดังคำท้า ศาลไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะหรือแพ้คดีตามคำท้า ต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป แม้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจดบันทึกคำท้าไว้ว่าคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ก็มีความหมายเพียงว่าหากคำพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดอย่างหนึ่งอย่างใดตามคำท้าแล้วคู่ความจะไม่ติดใจสืบพยาน จะถือว่าในกรณีคำพิพากษาคดีอาญาอันถึงที่สุดไม่ชี้ขาดว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่คู่ความก็ไม่ติดใจสืบพยานหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเปลื้องและอำแดงสุกได้จดทะเบียนโอนที่ดินมรดกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว โดยมิได้แบ่งให้แก่โจทก์ผู้เป็นทายาทและทายาทอื่นขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินแปลงดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนเพิกถอนการโอน
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ได้ยักยอกที่ดินตามฟ้องซึ่งเป็นมรดกของนายเปลื้องอำแดงสุกไปออกน.ส.3 ทับโฉนดที่ดินมรดกเป็นชื่อของโจทก์เกินส่วนที่โจทก์จะได้รับ โจทก์จึงเป็นผู้ถูกกำจัดไม่ให้รับทรัพย์มรดกตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาท ข้อ 1 คำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ข้อ 2 โจทก์มีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ข้อแรกเป็นประเด็นหารือบท ศาลวินิจฉัยได้เอง ข้อ 2โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ตกโจทก์ ให้โจทก์นำสืบก่อนและกำหนดวันสืบพยานโจทก์ถึงวันนัดคู่ความท้ากันว่าหากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 955/2531 ของศาลชั้นต้นมีความผิดตามฟ้องจำเลยคดีนี้ยอมแพ้ ถ้าในคดีอาญาดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง โจทก์คดีนี้ยอมแพ้ คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยานคดีอาญาถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6)โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 955/2531ให้ยกฟ้องโจทก์ โดยมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ผลคำพิพากษาไม่เป็นไปตามคำท้า แต่ไม่จำต้องสืบพยานต่อไปเพราะคู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยาน จะต้องพิจารณาไปตามประเด็นแห่งคดีเหมือนกับว่าไม่มีการสืบพยาน ประเด็นข้อ 2ที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์ตามฟ้องได้หรือไม่นั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบสมตามประเด็นดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีกต่อไปพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อปรากฏว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 955/2531 ของศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เห็นว่า ศาลฎีกามิได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่มีความผิดตามฟ้องดังคำท้าศาลก็ไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะหรือแพ้คดีตามคำท้าได้เพราะศาลฎีกามิได้พิพากษาอย่างหนึ่งอย่างใดตามคำท้าของโจทก์หรือจำเลย จึงชอบที่ศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานอื่นของโจทก์จำเลยต่อไป แม้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่จดบันทึกคำท้าของโจทก์จำเลยไว้จะมีข้อความว่าคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ก็มีความหมายเพียงว่าหากคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างหนึ่งอย่างใดตามคำท้าแล้วคู่ความจะไม่ติดใจสืบพยาน จะถือว่าในกรณีที่คำพิพากษาถึงที่สุดไม่ชี้ขาดว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่คู่ความก็ไม่ติดใจสืบพยานหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ยืนตามกันมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share