คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การริบทรัพย์เป็นโทษอย่างหนึ่ง เมื่อศาลไม่เชื่อว่าจำเลยนำเฮโรอีนไปจำหน่าย ก็ชอบที่จะได้วินิจฉัยในเรื่องการริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ซึ่งตามฟ้องอ้างว่าใช้ขับขี่ไปเพื่อขายเฮโรอีนเสียด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ดังที่โจทก์อ้าง รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยชอบที่ศาลฎีกาจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนอีกกระทงหนึ่ง จำคุก 11 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสาม จำคุก 1 ปี 4 เดือน ริบเฮโรอีนและรถจักรยานยนต์ของกลาง ส่วนเงิน 1,000 บาทของกลาง คืนให้เจ้าของ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ผิดเฉพาะฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองกระทงเดียวจำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ส่วนปัญหาเรื่องรถจักรยานยนต์ของกลางที่ศาลชั้นต้นสั่งริบ โดยอ้างว่าเป็นพาหนะนำเฮโรอีนของกลางไปจำหน่าย ถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด แต่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน ซึ่งมีผลเป็นการกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อหาฐานนี้ โดยไม่เชื่อว่าจำเลยนำเฮโรอีนไปจำหน่ายเสียแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะวินิจฉัยในเรื่องการริบรถจักรยานยนต์รายนี้ด้วย ปัญหานี้แม้จำเลยจะไม่ได้เป็นฝ่ายฎีกาขึ้นมาด้วยก็ตาม แต่เห็นว่าการริบทรัพย์ก็เป็นโทษอย่างหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ชอบที่ศาลฎีกาจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เห็นว่าตามฟ้องโจทก์ระบุชัดว่า จำเลยที่ 1 ใช้รถจักรยานยนต์ขับขี่ไปเพื่อขายเฮโรอีนแก่สายลับ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ดังที่โจทก์อ้าง รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)

พิพากษาแก้เป็นว่า รถจักรยานยนต์ของกลางไม่ริบ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share