คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4835/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ป. เป็นผู้เรียงคำฟ้องและลงลายมือชื่อเป็นโจทก์ในคำฟ้องในขณะที่ขาดจากการเป็นทนายความตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 แต่โจทก์ก็แต่ง ว. เป็นทนายความคนใหม่เข้ามาดำเนินคดีแทนโจทก์หลังจากฟ้องเพียง 1 เดือนเศษ และ ว. ดำเนินคดีแทนโจทก์ตลอดมาโดยที่ ป. ไม่ได้เข้ายุ่งเกี่ยวกับคดีทั้งสิ้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้แก้ไขคำฟ้องโดยให้โจทก์ทำคำฟ้องขึ้นใหม่และให้โจทก์ลงชื่อในคำฟ้องโดยมีเงื่อนไขให้คำฟ้องใหม่มีข้อความเช่นเดียวกับคำฟ้องเดิม คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงไม่ก่อให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางเชิงคดีอันจะทำให้ความยุติธรรมเสื่อมเสียไป จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยความยุติธรรมตามเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
คำสั่งรับคำฟ้องฉบับใหม่ของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งเกี่ยวกับคดีที่เสนอคำฟ้องนั้นและไม่ใช่คำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 และมาตรา 228 จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านไว้จึงอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา 226

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรนายกลมและนางผิว เฉิดฉาย เมื่อปี 2515 โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินตามหลักฐานใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 107จากนายผุย เฉิดฉาย พี่โจทก์ทั้งสอง (ที่ถูกพี่โจทก์ที่ 2) เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ (ที่ดินพิพาท)ในราคา 3,000 บาท ตามแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทท้ายฟ้อง แต่การซื้อขายมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นายผุยส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า10 ปีแล้ว ต่อมาวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2539 จำเลยทั้งเก้าไปยื่นขอรับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าวของนายผุย และในวันที่ 10 เมษายน 2539 จำเลยที่ 3 กับพวกรวม 5 คน บุกรุกเข้าไปตัดต้นไม้และถางป่าในที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้หยุดการกระทำดังกล่าว แต่จำเลยที่ 3 กับพวกเพิกเฉย ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำขอโอนมรดกของนายผุย เฉิดฉาย ตามใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 107 ตำบลแจนแลน อำเภอกุฉินารายณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ และให้ที่ดินตามใบจองดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งเก้าเข้าเกี่ยวข้องด้วย หากจำเลยทั้งเก้าไม่ดำเนินการ โจทก์ทั้งสองขอเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเก้า

จำเลยทั้งเก้าให้การและฟ้องแย้งว่า ที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทจากนายผุย เฉิดฉาย ในปี 2515 และเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมานั้นไม่เป็นความจริง ความจริงแล้วก่อนนายผุยถึงแก่ความตาย ได้ให้โจทก์ที่ 2ดูแลที่ดินพิพาทไว้แทนนายผุยและทายาทคือจำเลยทั้งเก้า เมื่อนายผุยถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยทั้งเก้าก็ตกลงให้โจทก์ที่ 2 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยทั้งเก้ามาตลอดในปี 2522 หลังจากนายผุยถึงแก่ความตายไปแล้ว 5 ปี จำเลยทั้งเก้าได้บอกกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองเพื่อขายที่ดินที่ฝากให้ดูแลนี้บางส่วน ตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งเก้าหมายเลข 1 ส่วน (ก) และ (ข) ให้แก่นายสนิท วิชัยโย เป็นเงิน15,000 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสองก็ไม่คัดค้าน ส่วนที่ดินที่เหลือจำเลยทั้งเก้าให้โจทก์ที่ 2 ดูแลแทนตลอดมา ก่อนที่จำเลยทั้งเก้าจะยื่นคำขอรับมรดกที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินพิพาท โดยอ้างต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองทั้งยังเป็นการปิดบังมิให้จำเลยทั้งเก้าทราบถึงการรังวัดโดยมีเจตนาที่จะเอาที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งเก้าจึงไม่ประสงค์ให้โจทก์ทั้งสองดูแลที่ดินพิพาทอีกต่อไป จึงยื่นคำร้องขอรับมรดกต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์2539 ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งเก้า กับสั่งห้ามไม่ให้โจทก์ทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง

โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทมิได้ถูกแบ่งตามแผนที่สังเขปที่พิพาทที่จำเลยทั้งเก้าทำขึ้น จำเลยทั้งเก้าทำแผนที่ขึ้นโดยบิดเบือนต่อความจริง โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินตามใบจองเลขที่ 107 จากนายผุย เฉิดฉาย เฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่เท่านั้น ไม่ได้ซื้อหมดทั้งแปลง และนายผุยส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองครอบครองมาเกินกว่า 10 ปี โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โจทก์ทั้งสองมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้ใด ที่ดินส่วนที่จำเลยทั้งเก้าขายให้นายสนิท วิชัยโย นั้น โจทก์ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่จำต้องคัดค้านการซื้อขายดังกล่าว จนถึงวันฟ้องแย้งนี้ จำเลยที่ 3 กับพวกยังบุกรุกเข้าไปตัดต้นไม้ และถางพืชพันธุ์ในที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งเก้า

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบจอง(น.ส.2) เลขที่ 107 เล่ม 17 หน้า 17 หน้า 72 ตำบลแจนแลน อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เฉพาะส่วนจำเลยเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ มีอาณาเขตทิศเหนือจดที่ดินโฉนดเลขที่ 5439 ตำบลแจนแลน อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ (เดิมเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 400/311) ของโจทก์ที่ 2 ทิศใต้จดที่ดินของนายสุข ศรีโพนทอง ทิศตะวันตกจดถนนสาธารณประโยชน์ และทิศตะวันออกจดที่ดินของนายสนิท วิชัยโยตามแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทและที่ดินข้างเคียงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และตามที่ดินบริเวณ (ค) และ (ง) ตามแผนที่สังเขปที่พิพาทเอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมายเลข 1 (แผนที่สังเขปที่พิพาทเอกสารหมาย ล.1) กับห้ามจำเลยทั้งเก้าเข้าเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนคำขอของจำเลยทั้งเก้าที่ขอรับโอนมรดกที่ดินพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2539 ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งเก้า

จำเลยทั้งเก้าอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยทั้งเก้าฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติในเบื้องต้นว่าโจทก์ที่ 2 กับนายผุย เฉิดฉาย บิดาจำเลยทั้งเก้าเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ที่ดินพิพาทและที่ดินตามแผนที่สังเขปที่พิพาทเอกสารหมาย ล.1 ส่วน (ก) และ (ข) คือที่ดินแปลงใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 107 ตำบลแจนแลน อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์โจทก์ทั้งสองแต่งนายประมาณ มานะบุตร เป็นทนายความฟ้องจำเลยทั้งเก้า ตามใบแต่งทนายความฉบับลงวันที่ 17 เมษายน 2539 นายประมาณทำหน้าที่เป็นทนายโจทก์โดยลงชื่อเป็นโจทก์ในคำฟ้องเท่านั้น แต่ปรากฏว่านายประมาณถูกสภาทนายความลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2539 ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2539 โจทก์ทั้งสองแต่งนายวิชชุกร สงวนชาติ เป็นทนายความดำเนินกระบวนพิจารณาแทนโจทก์ทั้งสองตลอดมาโดยที่นายประมาณไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งเก้าในประการแรกมีว่า คำฟ้องโจทก์ทั้งสองที่นายประมาณลงชื่อเป็นโจทก์ตามลำพังในขณะที่นายประมาณไม่มีฐานะเป็นทนายความแล้วต่อมาศาลชั้นต้นสั่งให้แก้ไขโดยให้โจทก์ทั้งสองทำคำฟ้องขึ้นใหม่ มีข้อความเช่นเดียวกับคำฟ้องเดิม จะมีผลทำให้คำฟ้องโจทก์ทั้งสองชอบหรือไม่ เห็นว่าแม้นายประมาณจะเรียงคำฟ้องและลงลายมือชื่อเป็นโจทก์ในคำฟ้องในขณะที่ขาดจากการเป็นทนายความตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 แล้วก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสองก็แต่งนายวิชชุกรสงวนชาติเป็นทนายความคนใหม่เข้ามาดำเนินคดีแทนโจทก์ทั้งสองหลังจากฟ้องเพียง1 เดือนเศษ และนายวิชชุกรดำเนินคดีแทนโจทก์ตลอดมาโดยที่นายประมาณไม่ได้เข้ายุ่งเกี่ยวกับคดีโจทก์ทั้งสิ้น นายประมาณจึงทำหน้าที่เป็นทนายความให้โจทก์ทั้งสองเพียงร่างคำฟ้องและลงชื่อในคำฟ้องเท่านั้น จำเลยทั้งเก้าก็มีโอกาสต่อสู้คดีตามคำฟ้องได้เต็มที่ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้แก้ไขคำฟ้องโดยให้โจทก์ทั้งสองทำคำฟ้องขึ้นใหม่และให้โจทก์ทั้งสองลงชื่อในคำฟ้องโดยมีเงื่อนไขให้คำฟ้องใหม่มีข้อความเช่นเดียวกับคำฟ้องเดิม โจทก์ทั้งสองก็ไม่โต้แย้งว่าข้อความในคำฟ้องเดิมไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงตามความประสงค์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มุ่งให้ความคุ้มครองคำสั่งของศาลชั้นต้นจึงไม่ก่อให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางเชิงดีอันจะทำให้ความยุติธรรมเสื่อมเสียไป เนื่องจากจำเลยทั้งเก้าซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนโจทก์ทั้งสองก็สืบพยานโจทก์ทั้งสองจนเหลือพยานโจทก์ทั้งสองอีกเพียง 2 ปากเท่านั้น คดีก็จะเสร็จสิ้นการพิจารณาตรงกันข้าม หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของโจทก์ตั้งแต่การยื่นคำฟ้องอันจะส่งผลให้โจทก์ต้องทำคำฟ้องใหม่ จำเลยทั้งเก้าทำคำให้การใหม่ และสืบพยานกันใหม่ซึ่งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่บังคับให้จำเลยทั้งเก้าต้องทำคำให้การและสืบพยานเหมือนเดิม จำเลยทั้งเก้าย่อมมีโอกาสแก้ไขปรับปรุงรูปคดีที่อาจเสียเปรียบให้กลับได้เปรียบได้ อันจะทำให้จำเลยทั้งเก้าได้เปรียบทางเชิงคดี ซึ่งหาชอบด้วยความยุติธรรมไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4เห็นชอบด้วยคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่สั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาตามคำร้องของจำเลยที่ 7และที่ 8 และให้แก้ไขคำฟ้องใหม่จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยความยุติธรรมตามเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งเก้าในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งเก้าในประการที่สองมีว่า คำฟ้องใหม่ของโจทก์ทั้งสองไม่ได้แนบแผนที่สังเขปที่พิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ตามคำบรรยายฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องดังกล่าวไว้ คำสั่งรับฟ้องของศาลชั้นต้นชอบหรือไม่ เห็นว่าคำสั่งรับคำฟ้องใหม่ของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งเกี่ยวกับคดีที่เสนอคำฟ้องนั้น และไม่ใช่คำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 และมาตรา 228 จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งเก้าไม่ได้โต้แย้งคัดค้านไว้ จำเลยทั้งเก้าจึงอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 กรณีนี้จึงเท่ากับว่าฎีกาของจำเลยทั้งเก้าในข้อนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249”

พิพากษายืน

Share