แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง กำหนดให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยของจำนวนเงินค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 15 ต่อปี ไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงนำอัตราดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับไม่ได้ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยของจำนวนเงินค่าชดเชยร้อยละ 15 ต่อปี โดยโจทก์มิได้ขอมาในฟ้อง จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทมูลนิธิ ใช้ชื่อว่ามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จำเลยจ้างโจทก์เป็นอาจารย์สอนหนังสือตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 35,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2545 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 31 ตุลาคม 2545 โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และจำลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันเป็นเวลาครบ 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 105,000 บาท และมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน เป็นเงิน 35,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 35,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 840,000 บาท และค่าชดเชยจำนวน 105,000 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างในอัตราปีละ 360,000 บาท แบ่งจ่ายเดือนละ 30,000 บาท สัญญาจ้างมีกำหนดเวลาจ้างไว้แน่นอนย่อมสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในสัญญาจ้าง โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทมูลนิธิซึ่งมิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ จึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย เพราะโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนักศึกษาของจำเลย เป็นการฝ่าฝืนสัญญาจ้างและระเบียบอันชอบด้วยกฎหมายกรณีร้ายแรง จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายอันเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เพราะสัญญาจ้างมีระยะเวลาเพียง 1 ปี และโจทก์ประพฤติเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 92,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคล จัดตั้งขึ้นโดยมูลนิธิคณะเซ็นต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ให้เป็นอาจารย์สอนหนังสือมีกำหนดระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2545 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 30,900 บาท เมื่อครบกำหนดแล้ว จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจ้างโจทก์ต่อโดยแจ้งให้โจทก์ทราบเป็นหนังสือลงวันที่ 22 ตุลาคม 2545 ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเฉพาะที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับมามีเพียงว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยของจำนวนเงินค่าชดเชยร้อยละ 15 ต่อปี ชอบหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้ขอให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของจำนวนเงินค่าชดเชยมาด้วย เมื่อศาลแรงงานกลางเห็นสมควรพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยของจำนวนเงินค่าชดเชย โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52 ศาลแรงงานกลางก็มีอำนาจกำหนดดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละ 7.5 ต่อปี อันเป็นอัตราดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น เพราะกฎหมายมิได้เปิดช่องให้จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีได้ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างค่าชดเชยตามมาตรา 118 ให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี” เมื่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยของจำนวนเงินค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 15 ต่อปี ไว้โดยเฉพาะแล้วเช่นนี้ จึงจะนำอัตราดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับแก่กรณีนี้ไม่ได้ กรณีไม่ใช่ไม่มีกฎหมายเปิดช่องให้จ่ายดอกเบี้ยของจำนวนเงินค่าชดเชยร้อยละ 15 ต่อปี ได้ดังที่จำเลยอ้าง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยของจำนวนเงินค่าชดเชยร้อยละ 15 ต่อปี ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52 แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน