คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้วินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลจึงมีอำนาจฟ้อง โดยมิได้วินิจฉัยเรื่องโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทหรือไม่ อันจะเป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การปรับบทกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ตามที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัย จึงไม่ชอบ โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทที่ให้เช่าซื้อก็ตาม แต่บริษัท ท.เจ้าของรถยนต์พิพาทยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อได้และโจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยได้ หากจำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา ดังนี้จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะกลับมาอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อจึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์พิพาท ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ในราคา520,000 บาท ผ่อนชำระ 36 งวด จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1ผิดนัดตั้งแต่ งวด ที่สองโดยชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนและหลังจากนั้นไม่ชำระอีกเลย โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยึดรถยนต์พิพาทกลับคืนมาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2525 ในสภาพทรุดโทรม โจทก์ได้รับความเสียหายต้องซ่อมแซมรถยนต์พิพาทเสื่อมสภาพ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์พิพาทเป็นเงิน 188,683.93 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 188,683.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่นิติบุคคลและไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องเมื่อเกิน 6 เดือน คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 40,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 23,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลย ทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย ปัญหาที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นการไม่ชอบนั้นปัญหานี้จำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้คดีว่า เมื่อระหว่างเดือนตุลาคม 2525 จำเลยที่ 1 ต้องการจะเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกยี่ห้อฮีโน่ หกล้อ พนักงานโจทก์มาไต่ถามจำเลยที่ 1 และว่ารถยนต์ยี่ห้อดังกล่าวบริษัทฮีโน่ มอเตอร์เซลส์ จำกัด ให้เช่าซื้อในราคา 520,000บาท ถ้าต้องการเช่าซื้อทางบริษัทเจ้าของรถให้วางเงินมัดจำ 5,000 บาทและชำระเงินดาวน์อีก 75,000 บาท ในการชำระเงินแต่ละครั้งเพื่อความสะดวกให้จำเลยชำระผ่านโจทก์ โจทก์จะเป็นผู้จัดส่งให้แก่บริษัทเจ้าของรถส่วนรถนั้นบริษัทจะจัดส่งผ่านมาทางโจทก์ให้จำเลยไปรับมอบในตอนหลัง จำเลยทั้งสองตกลงตามที่พนักงานของโจทก์แนะนำต่อมาพนักงานของโจทก์ได้นำเอาแบบพิมพ์บางส่วนของสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันโดย ยังไม่มีการกรอกข้อความใด ๆ ให้จำเลยที่ 1ลงชื่อในช่องผู้เช่าซื้อ และจำเลยที่ 2 ลงชื่อในช่องผู้ค้ำประกันอย่างละ 2 ชุด และบอกว่าจะส่งสัญญานี้ไปให้บริษัทเจ้าของรถจำเลยได้ชำระเงินมัดจำและเงินดาวน์ให้แก่โจทก์รับไปรวมทั้งสิ้น80,000 บาท และรถยนต์คัดดังกล่าวนั้นเจ้าของได้ส่งผ่านโจทก์มอบให้แก่จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า คำให้การดังกล่าวของจำเลยทั้งสองเป็นการยกข้อต่อสู้ไว้แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทซึ่งชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไว้วินิจฉัยเพียงว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลจึงมีอำนาจฟ้อง โดยมิได้วินิจฉัยเรื่องโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทหรือไม่ อันจะเป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ การปรับบทกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ตามที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยนั้น จึงไม่ชอบ ปัญหานี้ศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัย แต่โจทก์และจำเลยทั้งสองได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้วจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไม่เสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ได้ความจากนายถนัดพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทมาจากบริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์เซลส์ จำกัด ในขณะโจทก์ให้จำเลยที่ 1เช่าซื้อรถยนต์พิพาทนั้นโจทก์ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ ปัจจุบันโจทก์ชำระเงินค่าเช่าซื้อเรียบร้อยแล้วตามสำเนาใบรับเงินเอกสารหมาย จ.5 ระหว่างสัญญาเช่าซื้อบริษัทดังกล่าวได้ยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อได้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ทราบดีหากจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทครบ โจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ เมื่อโจทก์ยึดรถยนต์พิพาทกลับคืนมา โจทก์ได้ขายให้แก่ผู้อื่นไปแล้วในราคา 350,000 บาทส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ เห็นว่าจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ โจทก์จึงไม่ได้กระทำการแทนบริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์เซลส์ จำกัด ดังคำให้การของจำเลยทั้งสอง โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยทั้งสอง แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทที่ให้เช่าซื้อก็ตาม แต่บริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์-เซลส์ จำกัด ยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อได้และโจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ได้หากจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา ดังนี้ จำเลยที่ 1ต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะกลับมาอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อจึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อไปอีกว่า มูลคดีของโจทก์อาศัยเหตุจากโจทก์อ้างว่า ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์พิพาทมา ซึ่งเป็นเอกเทศสัญญาอันเป็นสัญญาประธาน จึงต้องถืออายุความตามสัญญาประธานซึ่งมีบทบัญญัติเรื่องอายุความเกี่ยวกับเอกเทศสัญญาไว้เฉพาะโดยมีกำหนดอายุความ 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 563 เมื่อค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์พิพาทอาศัยเหตุจากสัญญาประธาน ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นส่วนอุปกรณ์เท่านั้น อายุความจึงต้องมีกำหนด 6 เดือนค่าเสียหายดังกล่าวจึงขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์พิพาทไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 หาใช่มีอายุความ 6 เดือนดังจำเลยทั้งสองฎีกาไม่
พิพากษายืน.

Share