คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 อ้างว่าโจทก์ที่ 1 มีสติไม่บริบูรณ์เหมือนคนธรรมดาและคล้ายกับปัญญาอ่อน แต่พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าโจทก์ที่ 1 เป็นเช่นนั้น อันจะเป็นข้ออ้างที่มีเหตุสำคัญในการไม่ยอมจดทะเบียนสมรส จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น จำเลยทั้งสามตกลงรับหมั้นจากฝ่ายโจทก์พร้อมทั้งรับของหมั้นไว้เรียบร้อยแล้ว แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้มอบของหมั้นทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1อันเป็นการผิดสัญญาหมั้น จำเลยทั้งสามซึ่งรับของหมั้นไว้ก็ต้องร่วมกันคืนของหมั้นแก่ฝ่ายโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้ทำสัญญาหมั้นกับจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 โดยโจทก์ที่ 1 หมั้นกับจำเลยที่ 3 ในการหมั้นครั้งนี้โจทก์ทั้งสองได้มอบของหมั้นให้แก่จำเลยทั้งสาม หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ได้ทำพิธีแต่งงานกัน ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ชวนจำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนสมรส จำเลยที่ 3 ผัดผ่อนเรื่อยมา และไม่ยอมอยู่กินกับโจทก์ที่ 1 อีก ถือว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญาหมั้น ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามนำของหมั้นคือเงินสด50,444 บาท ทองรูปพรรณหนัก 12 บาท แหวนเพชร 1 วง ตุ้มหู 1 คู่คืนให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 127,044 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยทั้งสามให้การว่า ก่อนจะมีการหมั้นได้ตกลงกันว่า ต่างฝ่ายจะต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แต่เมื่อหมั้นและเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว จำเลยทั้งสามจึงทราบว่าโจทก์ที่ 1 มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์จำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรส ซึ่งเหตุสำคัญเกิดจากโจทก์ที่ 1 ของหมั้นจึงตกได้แก่จำเลยที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนของหมั้นคือเงินสด 50,444 บาททองรูปพรรณหนัก 12 บาท ราคา 48,000 บาท แหวนเพชร 1 วง ราคา25,000 บาท ตุ้มหู 1 คู่ ราคา 3,600 บาท แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน โดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินตามราคาทรัพย์ส่วนที่คืนไม่ได้นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 1ได้หมั้นจำเลยที่ 3 โดยมีของหมั้นคืนเงินสด 50,444 บาท ทองรูปพรรณหนัก 12 บาท ราคา 48,000 บาท แหวนเพชร 1 วง ราคา 25,000 บาทตุ้มหู 1 คู่ ราคา 3,600 บาท ต่อมาได้ทำพิธีแต่งงานกัน แต่จำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสและไม่ยอมอยู่กินกับโจทก์ที่ 1 มีข้อต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการแรกว่า จำเลยทั้งสามผิดสัญญาหมั้นหรือไม่ สำหรับข้ออ้างของจำเลยที่ 3 ที่ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 เนื่องจากโจทก์ที่ 1 มีสติไม่บริบูรณ์เหมือนคนธรรมดาทั่วไปและคล้ายคนปัญญาอ่อน เห็นว่าที่จำเลยทั้งสามนำสืบมา มีแต่จำเลยที่ 3 กล่าวหาโจทก์เช่นนั้นส่วนพยานอื่นเพียงแต่ได้รับคำบอกเล่าจากตัวจำเลยที่ 3 ถึงแม้โจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 3 เพิ่งรู้จักกันก่อนจะมีการหมั้นไม่นานเนื่องจากมีผู้แนะนำให้รู้จักกัน แต่จำเลยที่ 3 ก็เคยไปบ้านของโจทก์ที่ 1 พยานอื่นของฝ่ายจำเลยที่เห็นโจทก์มาก่อน ก็ไม่มีใครเห็นว่า โจทก์ที่ 1 เป็นคนสติไม่บริบูรณ์หรือมีการกระทำในลักษณะของคนปัญญาอ่อน ทั้งตัวโจทก์ที่ 1 เองดำเนินกิจการค้าเพื่อเลี้ยงชีพ แม้จะทำร่วมกับญาติพี่น้อง ก็ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1สามารถที่ประกอบกิจการค้าได้ตัวจำเลยที่ 3 เมื่อตอนอยู่กินกับโจทก์ที่ 1 หลังจากทำพิธีแต่งงานใหม่ ๆ ก็ยังได้ช่วยขายของในร้านของโจทก์ที่ 1 ด้วย พฤติการณ์ที่ปรากฏในสำนวนไม่พอฟังว่าโจทก์ที่ 1 เป็นคนสติไม่บริบูรณ์หรือมีการกระทำคล้ายคนปัญญาอ่อนอันจะเป็นข้ออ้างที่มีเหตุสำคัญในการไม่ยอมจดทะเบียนสมรส เมื่อเป็นเช่นนี้จำเลยทั้งสามจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาอีกข้อหนึ่งที่ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 หรือไม่ โดยอ้างว่าของหมั้นทั้งหมดจำเลยที่ 1ที่ 2 ได้มอบให้แก่จำเลยที่ 3 เห็นว่า แม้จะเป็นจริงอย่างข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ปรากฏว่าในการหมั้นรายนี้ จำเลยทั้งสามได้ตกลงรับหมั้นจากฝ่ายโจทก์ พร้อมทั้งรับของหมั้นไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 อันเป็นการผิดสัญญาหมั้น จำเลยทั้งสามซึ่งรับของหมั้นไว้ จำต้องคืนของหมั้นแก่ฝ่ายโจทก์”
พิพากษายืน

Share