คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกหนี้จากจำเลย ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยึดเรือเดินทะเลของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามมิให้เคลื่อนย้ายเรือลำดังกล่าวออกจากอู่เรือของผู้ร้อง ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้โจทก์ถอยเรือออกไปให้พ้นท่าเทียบเรือของผู้ร้อง ต่อมาโจทก์กับผู้ร้องได้ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาว่า โจทก์ยอมให้เงินผู้ร้องในการที่เรือจอดอยู่ที่อู่ของผู้ร้องเดือนละ 3,000 บาท จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น โดยจะจ่ายให้เมื่อได้ขายทอดตลาดเรือแล้ว และให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการบังคับคดี ต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์และโจทก์ขอหมายบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 (2) ดังนี้ คำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวที่ศาลได้สั่งไว้ในระหว่างการพิจารณาก่อนมีคำพิพากษาคงมีผลต่อไปไม่ได้ถูกยกเลิก ทั้งจะถือว่าศาลได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ห้ามเคลื่อนย้ายเรือเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดเรือนั้นไป การนับระยะเวลาที่ผู้ร้องจะได้รับค่ารักษาทรัพย์ 3,000 บาทนั้น จึงต้องนับถึงวันที่ได้ย้ายเรือออกไปจากอู่ของผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าโจทก์ได้นำยึดเรือ “อะบาทอส” ของจำเลยและขายทอดตลาดไปแล้ว ในการนี้โจทก์ได้ตกลงให้ผู้ร้องเป็นผู้เฝ้ารักษาเรือดังกล่าว โดยให้ค่าเฝ้ารักษาเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๒ จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายเรือเป็นอย่างอื่น ส่วนเงินค่ารักษาจะจ่ายให้ต่อเมื่อได้มีการขายทอดตลาดและให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีด้วย ผู้ร้องได้เฝ้ารักษาเรือที่ถูกยึดตลอดมาจนกระทั่งโจทก์เคลื่อนย้ายไปเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๑๖ ค่าเฝ้ารักษาเป็นเงิน ๑๔๘,๕๐๐ บาท หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้บุริมสิทธิ และจำเลยไม่มีทรัพย์อื่นใดที่จะเอาชำระหนี้ได้ จึงขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ให้ผู้ร้องก่อนโจทก์และเจ้าหนี้อื่น และหากไม่ใช่หนี้บุริมสิทธิ ก็ขอเฉลี่ยหนี้ให้ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่า หนี้ที่เกี่ยวกับค่ารักษาเรือนั้น กรมศุลกากรได้ร้องขัดทรัพย์เข้ามาในคดีเป็นเหตุให้โจทก์จำเลยและผู้ร้องได้ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ครั้นต่อมากรมศุลกากรได้ขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์จำเลย ทั้งไม่ใช่หนี้บุริมสิทธิ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเกินกำหนดเวลาตามกฎหมาย
โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า หนี้ที่โจทก์ตกลงให้แก่ผู้ร้องให้การที่เรือยนต์จอดอยู่ที่อู่เรือของผู้ร้องไม่ใช่หนี้บุริมสิทธิ แต่เป็นค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีอันถือว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียม ต้องหักให้ผู้ร้องก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑๙ คิดเป็นเงินเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๒ ถึงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องและโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามที่คู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์ฟ้องเรียกหนี้จากจำเลยทั้งสี่ซึ่งต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ ขณะที่คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างพิจารณา โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ยึดเรือเดินทะเลชื่อ “อะบาทอส” ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามมิให้เคลื่อนย้ายเรือลำดังกล่าวออกจากอู่เรือของบริษัท บางไทย จำกัด ผู้ร้อง เว้นแต่จะได้รับคำสั่งจากศาลเป็นอย่างอื่น ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้โจทก์ถอยเรือออกไปให้พ้นท่าเทียบเรือของผู้ร้อง กรมศุลกากรได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๒ ถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งขอให้ถอนคำสั่งห้ามชั่วคราวดังกล่าว ต่อมาโจทก์กับผู้ร้องได้ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ว่า โจทก์ยอมให้เงินผู้ร้องในการที่เรือจอดอยู่ที่อู่ของผู้ร้อง เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๓ เป็นต้นไป จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น โดยจะจ่ายให้เมื่อขายทอดตลาดเรือที่ยึดแล้ว และให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการบังคับคดี ครั้นวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๑๓ กรมศุลกากรยื่นคำร้องขอให้ศาลถอนคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายเรือนั้นเสีย และต่อมาวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๓ กรมศุลกากรกับกระทรวงการคลังได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อยเรือพิพาทและขอถอนคำร้องที่ขอให้ศาลถอนคำสั่งห้ามชั่วคราว ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนคำร้องฉบับเดิมได้ และต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขัดทรัพย์ของกรมศุลกากรและกระทรวงการคลัง คดีถึงที่สุดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดเรืออะบาทอสได้เงิน ๓๕๗,๐๐๐ บาท ยังมิได้หักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอรับเงินตามที่โจทก์ได้ตกลงไว้ โจทก์เคลื่อนย้ายเรืออออกไปเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์กับผู้ร้องและกรมศุลกากรผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลฉบับที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ระหว่างการพิจารณาต่อกรมศุลกากรผู้ร้องได้ขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ไป ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่อาจใช้บังคับต่อเพราะการถอนคำร้องขัดทรัพย์ย่อมลบล้างกระบวนพิจารณาอันมีต่อมาภายหลังยื่นคำร้องนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๖ และคดีนี้ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ต้องถือว่าคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายเรือลำพิพาทเป็นอันยกเลิกไป ข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงมีผลเพียงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๓ อันเป็นวันที่ศาลออกหมายบังคับคดีเท่านั้น ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนคดีนี้แล้ว ไม่ปรากฏว่ากรมศุลกากรผู้ร้องได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ไปตามที่โจทก์ฎีกาแต่ประการใด ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า เมื่อกรมศุลกากรได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลถอนคำสั่งห้ามชั่วคราวแล้ว ต่อมากรมศุลกากรก็ได้ขอถอนคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็อนุญาตให้กรมศุลกากรถอนคำร้องดังกล่าวได้ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๓ นอกจากนี้ข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ที่โจทก์ตกลงจะให้เงินแก่ผู้ร้องเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ในการที่ผู้ร้องยอมให้เรือพิพาทจอดอยู่ที่อู่ของผู้ร้องนั้น ก็เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับผู้ร้องโดยเฉพาะ ก่อนที่กรมศุลกากรจะยื่นคำร้องเข้ามาในคดีเสียอีก ฉะนั้น ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับผู้ร้องจึงมีผลบังคับได้ต่อไปตราบเท่าที่ศาลบังคับยังมิได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เมื่อโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐ (๒) คำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวที่ศาลได้สั่งไว้ในระหว่างการพิจารณาก่อนมีคำพิพากษาคงมีผลต่อไป ไม่ได้ถูกยกเลิกดังที่โจทก์ฎีกา ทั้งจะถือว่าศาลได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ที่ห้ามเคลื่อนย้ายเรือ เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ การนับระยะเวลาที่ผู้ร้องจะได้รับค่ารักษาทรัพย์จึงต้องนับถึงวันที่ได้ย้ายเรือออกไปจากอู่ของผู้ร้อง คือวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ตามที่ผู้ร้องและโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงกัน ส่วนฎีกาของโจทก์นอกจากนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าผู้ร้องไม่มีเจตนาผูกพันตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ นั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้แก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องมีสิทธิรับค่ารักษาทรัพย์รายนี้จนถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๑๖ อันเป็นวันที่เคลื่อนย้ายเรือพิพาทออกไปจากอู่ของผู้ร้องนั้น เห็นว่า กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่ขอให้แก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงในคำพิพากษาหรือคำสั่งเพียงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓ ตามที่ผู้ร้องฎีกา ผู้ร้องขอให้แก้ไขหาได้ไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัญหาข้อนี้ ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นแต่ประการใด ต้องถือว่าปัญหาข้อนี้ยุติแล้ว ผู้ร้องจะรื้อฟื้นขึ้นมาฎีกาอีกไม่ได้ ให้ยกฎีกาของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับฎีกาของผู้ร้องให้เป็นพับ
สรุปแล้วศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share