คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4827/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและนิติกรรมแบ่งขาย โอนขายที่ดินระหว่างโจทก์ผู้ขายกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ผู้ซื้อเป็นการฟ้องเรียกคืนที่ดินให้กลับคืนมาเป็นของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะขาดนัดยื่นคำให้การ แต่จำเลยที่ 5 ให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ก็ต้องถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ทั้งคดี เมื่อที่ดินมีราคา50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่ 5 ให้การแต่เพียงว่า จำเลยที่ 5 แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความการที่ศาลชั้นต้นหยิบยกบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นภายหลังแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์สละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 5 และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และมิใช่ข้อที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และเป็นข้อกฎหมายซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 78 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2521นายน้อย เสนาศักดิ์ ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 และนายไสว แซ่ตั้ง ปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจเพื่อแสดงว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายไสวเป็นผู้มีอำนาจจัดการยื่นคำขอแบ่งขายและขายที่ดินของโจทก์ ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม 2521นายไสวได้ใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวแบ่งแยกและโอนขายที่ดินของโจทก์ให้แก่นายน้อยและจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นภริยาและผู้รับมรดกของนายน้อยซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและนิติกรรมแบ่งขาย โอนขายตามหนังสือแบ่งขาย ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2521 ระหว่างโจทก์ผู้ขายกับนายน้อย เสนาศักดิ์ และจำเลยที่ 2 และที่ 4 ผู้ซื้อและหนังสือสัญญาขายลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2521 ระหว่างโจทก์ผู้ขายกับจำเลยที่ 5 ผู้ซื้อ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์เล่ม 62หน้า 168 เลขที่ 489/78, 490/78, 491/78, 492/87 หมู่ที่ 3ตำบลนาสาร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งแบ่งแยกให้แก่ผู้ซื้อ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 5 ให้การว่า ฟ้องขาดอายุความ โจทก์ได้ทราบถึงการซื้อขายที่ดินพิพาทตลอดจนการที่จำเลยที่ 5 นำที่ดินพิพาทไปจำนองแก่ธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาปากพนัง และตั้งแต่จำเลยที่ 5 เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2521เป็นต้นมา โจทก์ทราบดีและไม่เคยทักท้วง ทั้งยังรับเป็นหัวหน้าคนงานในโรงงานทำอิฐของจำเลยที่ 5 ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจเป็นเท็จ จำเลยที่ 5ได้ครอบครองที่ดินพิพาทที่ซื้อมาโดยสุจริต เปิดเผยและแสดงความเป็นเจ้าของ สร้างโรงงานทำอิฐและเสียภาษีในนามของจำเลยที่ 5 มานานกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โจทก์ถึงแก่กรรมนางสมบูรณ์ ตลึงพล ภริยาของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าเดิมโจทก์มีชื่อเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 7ข หมู่ที่ 3 ตำบลนาสารอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ 9 ไร่3 งาน 87 ตารางวา ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.3 เมื่อต้นปี 2521 นายน้อย เสนาศักดิ์ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 และนายไสว แซ่ตั้ง ปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจแล้วนำไปใช้แบ่งแยกและทำนิติกรรมโอนขายที่ดินให้แก่นายน้อยและจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 5 ได้ทำบันทึกข้อตกลงกันตามบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้สละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 5 ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย ล.2 และบันทึกข้อตกลงเอกสาร ล.2 เป็นอันเลิกกันไปโดยปริยาย โจทก์ไม่ต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงนั้นอีกต่อไปแล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและนิติกรรมแบ่งขายโอนขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ผู้ขายกับจำเลยที่ 2ถึงที่ 5 ผู้ซื้อ จึงเป็นการฟ้องเรียกคืนซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทให้กลับคืนมาเป็นของโจทก์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะขาดนัดยื่นคำให้การ แต่จำเลยที่ 5ให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ก็ต้องถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ทั้งคดีได้ความว่าที่ดินพิพาทมีราคา 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา 224 และ 248 พิเคราะห์คำให้การของจำเลยที่ 5 แล้วจำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 5 เข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2521 เป็นต้นมา โจทก์ทราบดีและไม่เคยทักท้วงทั้งยังรับเป็นหัวหน้าคนงานในโรงงานทำอิฐของจำเลยที่ 5ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 5 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทที่ซื้อมาโดยสุจริตเปิดเผยและแสดงความเป็นเจ้าของ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ คำให้การของจำเลยที่ 5 เช่นนี้เท่ากับให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่าจำเลยที่ 5 แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาแต่ต้นจนเกิน 1 ปีแล้ว การที่ศาลชั้นต้นไปหยิบยกบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย ล.2 ที่ทำขึ้นภายหลังแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์สละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 5 และศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย ล.2 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เพราะจำเลยที่ 5มิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องนี้ไว้ และมิใช่ข้อที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยนอกประเด็นดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 และเป็นข้อกฎหมายซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แต่เนื่องจากคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว และหากศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีตามประเด็นที่พิพาทกันแล้วอาจมีผลเป็นการจำกัดสิทธิของคู่ความในการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง กรณีมีเหตุอันสมควรที่จะส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 247”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share