แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองสอดคล้องตรงกันและได้ให้การหลังเกิดเหตุทันทีโดยไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำผู้หนึ่งผู้ใด เชื่อว่าได้ให้การไปตามความจริงตามที่ได้รู้ได้เห็นโดยไม่มีเหตุจูงใจ หรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจึงได้บันทึกและให้พยานลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน การที่พยานโจทก์ทั้งสองมาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนแทงผู้ตายก็คงเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดเชื่อได้ว่าคำให้การชั้นสอบสวนของพยานทั้งสองเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาล ทั้งคำให้การพยานชั้นสอบสวนก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลประการใด เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดี เช่น จำเลยนำสืบรับว่าก่อนเกิดเหตุได้มีเหตุวิวาทกับผู้ตาย ย่อมมีน้ำหนักมั่นคงฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83 จำคุก 20 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2525 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา พลทหารสุนทรหรือต้อย ธนูศร ถูกแทงทำร้ายถึงแก่ความตาย มีบาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง ปัญหาในชั้นนี้มีว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายสมชาย เชือกย้อย และเด็กหญิงหนิง ศรีทองคำเป็นประจักษ์พยาน แต่ประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความแตกต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนโดยนายสมชายเบิกความว่า นายทินหรือสุทินเป็นผู้เข้าคร่อมและแทงผู้ตายและมีนายอนุวัชหรือเจี๊ยบซึ่งหนีไปพร้อมกับจำเลยเป็นผู้เข้ามาผลักและชกต่อยซ้ำ แต่ในชั้นสอบสวนนายสมชายให้การยืนยันต่อร้อยตำรวจตรีอนุสรณ์ พันธโชติ พนักงานสอบสวนที่ออกไปที่เกิดเหตุทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุว่า ขณะเกิดเหตุเห็นจำเลยแทงผู้ตายด้วยมีดซึ่งถืออยู่ในมือถูกบริเวณราวนมข้างซ้าย 1 ครั้ง ปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.1 และเมื่อพันตำรวจตรีสุรินทร์ ชัยพานิชพนักงานสอบสวนให้นายสมชายชี้ตัวผู้ต้องหาก็ปรากฏว่าชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องและยืนยันตามคำให้การเดิมทุกประการปรากฏตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.2 และใบต่อคำให้การเพิ่มเติมของนายสมชาย เชือกย้อย แผ่นที่ 1 ท้ายเอกสารหมาย จ.1 ปรากฏว่าตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายสมชายตามเอกสารหมาย จ.1นายสมชายไม่ได้ให้การว่าจำเลยตีผู้ตายแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายสมชายเบิกความว่าตนได้ชี้จำเลยว่าเป็นคนตีไม่ใช่คนแทงผู้ตายนั้นจึงเป็นการบ่ายเบี่ยงไปอย่างขัดต่อเหตุผล ส่วนเด็กหญิงหนิงเบิกความว่าไม่เคยรู้จักจำเลย เห็นคนแทงผู้ตายไม่รู้จักคนแทง คนแทงผู้ตายมีคนเดียว แต่ตอบจำเลยถามค้านว่า พยานเห็นผู้ตายเอาเหล้าสาดหน้าจำเลยก่อนที่จำเลยใช้ขวดตีผู้ตาย และตอบโจทก์ถามติงว่าวันเกิดเหตุเห็นจำเลยอยู่ในร้านเหล้า เช่นนี้แสดงว่าเด็กหญิงหนิง ต้องรู้จักจำเลยจึงได้ทราบว่าคนที่ผู้ตายเอาเหล้าสาดหน้านั้นคือจำเลยและเห็นคนที่อยู่ในร้านเหล้าคือจำเลย ดังนี้คำเบิกความของเด็กหญิงหนิงย่อมขัดกันเองอยู่ในตัว ในชั้นสอบสวนเด็กหญิงหนิงให้การยืนยันต่อพันตำรวจตรีสุรินทร์ ชัยพานิช พนักงานสอบสวนว่าจำเลยเป็นคนใช้มีดแทงผู้ตาย ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาเมื่อพนักงานสอบสวนให้ชี้ตัวผู้ต้องหา เด็กหญิงหนิงก็ชี้ตัวจำเลยถูกต้องและขอยืนยันให้การตามเดิม ปรากฏตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.4 และใบต่อคำให้การเพิ่มเติมของเด็กหญิงหนิง ศรีทองคำ แผ่นที่ 1 ท้ายเอกสารหมาย จ.3 เห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสมชายและเด็กหญิงหนิงประจักษ์พยานโจทก์สอดคล้องตรงกันและได้ให้การภายหลังเกิดเหตุทันทีโดยไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำผู้หนึ่งผู้ใดเชื่อว่าได้ให้การไปตามความจริงตามที่ได้รู้ได้เห็นโดยไม่มีเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจึงได้บันทึกและให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน การที่ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองมาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนแทงผู้ตายก็คงเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด ศาลฎีกาเชื่อว่าคำให้การชั้นสอบสวนของนายสมชาย และเด็กหญิงหนิงเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาลของพยานทั้งสอง และเห็นว่าคำให้การพยานชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลประการใด เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดี เช่น จำเลยเองนำสืบรับว่าก่อนเกิดเหตุพวกจำเลยกับพวกผู้ตายมีเรื่องทะเลาะกันจนถึงกับผู้ตายเอาเหล้าสาดหน้าจำเลย และจำเลยใช้ขวดตีผู้ตายแล้ว เห็นว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักและหลักฐานมั่นคง คดีฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยได้ใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงทำร้ายผู้ตายถึงแก่ความตายจริง พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน