แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เข้าไปขุดเอาหน้าดินในที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมไปย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 มาตรา 358 และมาตรา 362 เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 334 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๕, ๘๓ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายคะเน็ต ผดุงชีวิต ผู้เสียหายยื่นคำร้อง ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ โดยวางโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๗) ไว้คนละ ๒ ปี จำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ คนละ ๑ ปี และจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕ (๒) อีกคนละ ๒ ปี รวมโทษจำคุกจำเลยคนละ ๕ ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาทรัพย์ ๒,๐๐๐,๐๐๐บาท ให้แก่โจทก์ร่วมด้วย
โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาฟ้องข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามโฉนดเลขที่ ๑๖๓๐ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง ปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเดิมเป็นของนางสาวถนอมโดยซื้อมา เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม๒๕๒๓ มีที่ดินจำเลยที่ ๑ ติดอยู่ ๒ ด้าน และมีบ้านนางสายบัว แป้นขำ อยู่ห่างที่พิพาทประมาณ ๒ เส้น เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๒๙ นางทองสุข ทวีมูลแจ้งโจทก์ร่วมว่า มีผู้ลักลอบขุดหน้าดินของโจทก์ร่วมเป็นปริมาตร ๒๕,๐๐๐ลูกบาศก์เมตร ไปถมที่ดินของจำเลยที่ ๑ คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฟ้องโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาฟังขอ้เท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้บุกรุกเข้าไปลักขุดเอาดินในที่พิพาทของโจทก์ร่วมไป จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ มาตรา ๓๕๘ และมาตรา ๓๖๒โดยเป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมาย หลายบท ฯลฯ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๔ มาตรา ๓๕๘ และมาตรา ๓๖๒ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา ๓๓๔ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑ ปี ปรับ ๖,๐๐๐ บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เคยต้องโทษ จำคุกมาก่อน และเมื่อคำนึงถึง อายุ ประวัติ อาชีพ สิ่งแวดล้อม สภาพความผิดประกอบแล้ว สมควรให้โอกาสจำเลยที่ กลับตนเป็นพลเมืองดี จึงให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒ ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ โทษปรับให้เป็นไปตามมาตรา ๒๙, ๓๐ ให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ราคาทรัพย์จำนวน๕๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วม ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์.