คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากัน ซึ่งมีส่วนร่วมกันในที่ดินโฉนดที่ 5694 (ที่โจทก์ได้ถอนการยึดไปแล้ว) ขอให้สั่งแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของลูกหนี้คือจำเลย เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1483 ซึ่งหมายถึงสินบริคณห์ของสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินรายนี้ย่อมไม่ใช่สินบริคณห์ คำขอแยกสินบริคณห์ของโจทก์ย่อมตกไป
คดีที่โจทก์ร้องขอแยกสินบริคณห์หรือขอแยกที่ดินส่วนของจำเลยโดยอ้างเหตุที่จำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากัน เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์

ย่อยาว

เดิม ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินโฉนดที่ 5694 ซึ่งโจทก์นำยึดโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ติดใจยึดต่อไป ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนการยึด ผู้ร้องจึงถอนคำร้องขัดทรัพย์ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า บัดนี้ มีหลักฐานขัดว่านางผิวมีชื่อในโฉนดเป็นภริยาจำเลย ขอให้ศาลสั่งแยกสินบริคณห์หรือทรัพย์สินที่จำเลยมีส่วนได้ออกไปส่วนของจำเลยประมาณ 1 ใน 4 เพื่อยึดทรัพย์ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ฯลฯ

ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลถอนการยึดแล้ว คดีไม่เข้ามาตรา 1483 ให้ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์ร้องขอให้แยกสินบริคณห์ได้ตามมาตรา 1483 ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำสั่งใหม่ คดีถึงที่สุดชั้นอุทธรณ์นางผิวคัดค้านว่าที่ดินโฉนดนี้นางผิวได้รับยกให้เฉพาะตัว จำเลยมิใช่สามีนางผิว ฯลฯ ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วมีคำสั่งให้แยกโฉนดพิพาทเป็นส่วนของจำเลย 1 ใน 4 ให้โจทก์มีอำนาจยึดทรัพย์ส่วนนี้ได้

นางผิวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

นางผิวฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำร้องอ้างว่า จำเลยกับนางผิวเป็นสามีภริยากัน ซึ่งมีส่วนร่วมกันในที่ดินโฉนดนี้ (ที่โจทก์ได้ถอนการยึดไปแล้ว)ขอให้ศาลสั่งแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของลูกหนี้ คือ จำเลย เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1483 ซึ่งหมายถึงสินบริคณห์ของสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกับนางผิวเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินรายนี้ย่อมไม่ใช่สินบริคณห์ คำขอแยกสินบริคณห์ของโจทก์ย่อมตกไป

นอกจากนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมิได้เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินส่วนของนางผิวที่ได้รับยกให้จากมารดาของนางผิว แต่ในชั้นฎีกา นางผิวเสียค่าขึ้นศาลมาในทุนทรัพย์ 100,000 บาท อันเป็นราคาที่ดินทั้งหมดรวมถึงส่วนของนางนวลด้วย ซึ่งเกินไปและไม่ใช่คดีร้องขัดทรัพย์ เพราะโจทก์มิได้ยึดที่ดินส่วนของจำเลย แล้วนางผิวนางนวลมาร้องขัดทรัพย์อย่างในกรณีแรก แต่เป็นคดีที่โจทก์ร้องขอแยกสินบริคณห์หรือขอแยกที่ดินส่วนของจำเลยโดยอ้างเหตุที่จำเลยกับนางผิวเป็นสามีภริยากัน ซึ่งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์เช่นเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ที่โจทก์และนางผิวอุทธรณ์ จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินเป็นเงิน 2,450 บาทให้นางผิวไป

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องของโจทก์

Share