แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2537 ถึงเดือนตุลาคม 2537 เวลากลางวันและกลางคืน ติดต่อกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองร่วมกัน ครอบครองทรัพย์ของผู้เสียหายเพื่อนำไปดำเนินการอัด เป็นเม็ดแล้วนำส่งกลับคืนให้ผู้เสียหาย แต่ในวันเวลาดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้เบียดบังยักยอกทรัพย์ของผู้เสียหาย ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสองไปเป็น ของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต อันเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและ สถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอที่จะให้จำเลยที่ 1 เข้าใจ ข้อหาได้ดีว่าวันเวลาที่จำเลยที่ 1 กระทำผิด เป็นช่วงวัน เวลา ในตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้วโจทก์หาจำต้องบรรยายระบุวันเวลาที่แน่ชัดว่าจะต้องเป็น วันที่เท่าใดเดือนใดเวลาอะไรที่แน่นอนไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2537 ถึงเดือนตุลาคม 2537 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันจำเลยทั้งสองได้ครอบครองแผ่นพลาสติก พี เอส สีขาว จำนวน220,944 กิโลกรัม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8,837,760 บาทของบริษัทไทยโมเดิร์นพลาสติค อินดัสทรี จำกัด (มหาชน)ผู้เสียหาย เพื่อนำไปอัดเป็นเม็ดแล้วนำส่งกลับคืนไปให้ผู้เสียหายครั้นต่อมาตามวันเวลาดังกล่าวข้างต้นจำเลยทั้งสองได้เบียดบังยักยอกเอาแผ่นพลาสติก พี เอส ดังกล่าวของผู้เสียหายไปเป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางพลีจังหวัดสมุทรปราการ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 352 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาพลาสติกพี เอส สีขาว จำนวน 220,944 กิโลกรัม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น8,837,760 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่
ระหว่างพิจารณา บริษัทไทยโมเดิร์นพลาสติก อินดัสทรี จำกัด(มหาชน) ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 352 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก2 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก1 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนเม็ดพลาสติกจำนวน 220,944 กิโลกรัมหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 8,837,760 บาท แก่โจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองว่าเมื่อระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2537 ถึงเดือนตุลาคม 2537เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยทั้งสองร่วมกันครอบครองทรัพย์ของผู้เสียหายเพื่อนำไปดำเนินการอัดเป็นเม็ดแล้วนำส่งกลับคืนให้ผู้เสียหาย แต่ในวันเวลาดังกล่าวจำเลยทั้งสองได้เบียดบังยักยอกทรัพย์ของผู้เสียหายที่อยู่ในความครอบครองจำเลยทั้งสองนั้นไปเป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต อันเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอที่จะให้จำเลยที่ 1 เข้าใจข้อหาได้ดีว่าวันเวลาที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดเป็นช่วงวันเวลาใดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้วโจทก์หาจำต้องบรรยายระบุวันเวลาที่แน่ชัดว่าจะต้องเป็นวันที่เท่าใด เดือนใดเวลาอะไรที่แน่นอน ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ส่วนการบรรยายฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับการกระทำที่ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดก็เป็นการเพียงพอที่จำเลยที่ 1 จะเข้าใจได้ดีแล้ว สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำต่าง ๆ เป็นเรื่องที่จะนำสืบให้ปรากฏเห็นในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน