แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาขายที่นาให้โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อที่นานั้นเป็นที่ดินมือเปล่ามีแต่เพียงสิทธิครอบครองและจำเลยซึ่งเคยครอบครองอยู่ได้ขอเช่าที่นานั้นจากโจทก์หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว กรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 วรรคหนึ่ง ว่าการโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมเป็นผล ถ้าผู้โอนแสดงเจตนาว่าต่อไปจะยึดถือทรัพย์สินไว้แทนผู้รับโอน ถือได้ว่าได้มีการโอนการครอบครองให้โจทก์แล้วโดยถูกต้อง
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ โจทก์ซื้อที่นามือเปล่าจำเลย ๑ แปลง แล้วให้จำเลยเช่าทำต่อเรื่อยมาโดยเก็บค่าเช่าเป็นข้าวปีละ ๑๕๐ ถังจำเลยได้แจ้งการครอบครอง ส.ค.๑ สำหรับที่นาแปลงนี้ไว้ พ.ศ. ๒๕๐๙ จำเลยยื่นคำร้องขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยหลอกลวงเจ้าพนักงานว่าที่นาดังกล่าวเป็นของจำเลย เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โดยที่โจทก์ไม่ทราบ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๐ โจทก์ไปเก็บข้าวค่าเช่าจำเลยก็ขอผัดผ่อนเรื่อยมา ในที่สุดอ้างว่านาเป็นของจำเลย และนำเอกสาร น.ส.๓ มาแสดง โจทก์จึงทราบเรื่องและได้ไปร้องเรียนต่อทางอำเภอ เมื่ออำเภอเรียกจำเลยไปสอบถามจำเลยก็รับว่าเป็นนาของโจทก์ แต่ไม่ยอมออกไปและไม่ยอมให้แก้ชื่อในเอกสารเป็นชื่อโจทก์ จึงขอให้พิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยและสั่งเพิกถอนหนังสือ น.ส. ๓ ดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยได้นาพิพาทมาโดยการบุกเบิกและได้แจ้งการครอบครอง ส.ค. ๑ ไว้ จำเลยไม่เคยขายนาพิพาทให้โจทก์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ จำเลยเคยกู้เงินโจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยเป็นข้าวปีละ ๑๐๕ ถัง ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๑-๒๔๙๒ จำเลยไม่ได้ส่งดอกเบี้ยเพราะทำนาไม่ได้ โจทก์จึงเรียกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นโดยให้จำเลยส่งข้าวเป็นดอกเบี้ยปีละ ๑๕๐ ถัง ซึ่งจำเลยส่งมาทุกปี จน พ.ศ. ๒๕๐๘ จำเลยจึงไม่ยอมส่งจำเลยไม่เคยเช่านาพิพาทจากโจทก์ จำเลยได้รับหนังสือ น.ส.๓ โดยมิได้หลอกลวงเจ้าพนักงาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและให้เพิกถอนหนังสือ น.ส.๓
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า การซื้อขายนาพิพาทมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน จึงไม่สมบูรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า “แม้การซื้อขายที่นาพิพาทจะทำหนังสือกันเองและมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้สัญญาซื้อขายที่นาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ ก็จริง แต่ที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งมีแต่สิทธิครอบครองซึ่งอาจโอนกันได้โดยส่งมอบหรือเพียงแสดงเจตนา ซ้ำในคดีนี้จำเลยซึ่งเคยครอบครองอยู่ได้ขอเช่าที่นาพิพาทจากโจทก์หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว กรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๐ วรรค ๑ ที่ว่า การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมเป็นผล แม้ผู้โอนยังยึดถือทรัพย์สินอยู่ถ้าผู้โอนแสดงเจตนาว่าต่อไปจะยึดถือทรัพย์สินไว้แทนผู้รับโอนและโดยที่จำเลยเช่านาพิพาทจากโจทก์ต่อมา จึงถือว่าจำเลยยึดถือที่นาพิพาทไว้แทนโจทก์เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่า ได้มีการโอนการครอบครองให้โจทก์แล้วโดยถูกต้อง ฯลฯ”
พิพากษายืน