คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4781/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์กับจำเลยมีเขตติดต่อกันโดยมีลำรางสาธารณะกั้นและโจทก์ได้สร้างสะพานข้ามลำรางสาธารณะเพื่อใช้ข้ามจากที่ดินของโจทก์ไปยังที่ดินของจำเลยและเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์มาเป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ โจทก์จึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนให้แก่จำเลยแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินน.ส.3 ก. ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านใต้ของที่ดิน น.ส.3 ก ของจำเลยรวม2 แปลงโดยโจทก์ได้ใช้ที่ดินของจำเลยทั้งสองแปลงเป็นทางเดินออกไปสู่ถนนสาธารณประโยชน์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี โจทก์จึงได้สิทธิภารจำยอมในทางเดินดังกล่าวโดยอายุความ ต่อมาเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2530จำเลยทำรั้วลวดหนามปิดกั้นทางเดิน เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางเดินดังกล่าวเข้าออกได้ ขอให้พิพากษาโจทก์ได้ภารจำยอมในทางเดินบนที่ดินของจำเลยทั้งสองแปลงโดยอายุความให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่โจทก์หากไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยรื้อรั้วลวดหนามและเปิดทาง หากจำเลยไม่รื้อให้โจทก์เป็นผู้รื้อเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เพิ่งใช้ทางเดินมาเพียง4-5 ปี โจทก์จึงไม่ได้สิทธิภารจำยอมในทางเดินโดยอายุความ ขอให้ยกฟ้อง และหากศาลพิพากษาให้เปิดทางภารจำยอม ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย และค่าทดแทนเป็นเงิน 20,000 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ทางภารจำยอมโดยอายุความซึ่งเป็นการได้ทางพิพาทโดยผลของกฎหมาย โจทก์ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ได้ทางภารจำยอมโดยอายุความให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมให้แก่โจทก์หากไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยรื้อรั้วลวดหนามและเปิดทางพิพาท หากจำเลยไม่รื้อก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ฟังได้ว่า มีสะพานเก่าข้ามลำรางสาธารณะซึ่งกั้นระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยผู้ที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ได้ใช้สะพานนี้ข้ามจากที่ดินของโจทก์ไปยังที่ดินของจำเลยและเดินผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ถนนสายวังทอง-เขาทราย มาเป็นเวลานานเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความตามกฎหมาย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายหรือค่าตอบแทนหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีฟังได้ว่าทางพิพาทเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความแล้ว โจทก์ก็ไม่ต้องใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนให้แก่จำเลยแต่อย่างใดจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งได้
อย่างไรก็ตาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าถ้าจำเลยไม่รื้อรั้วลวดหนาม ให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา 296 ทวิแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติไปตามบทบัญญัติดังกล่าว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่าหากจำเลยไม่รื้อรั้วลวดหนามก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share