แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้แจ้งการประเมินให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หนี้ภาษีอากรของจำเลยย่อมยุติไปตามที่เจ้าพนักงานของโจทก์แจ้งประเมินไว้
จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นหนี้ค่าภาษีอากรในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2525 ถึงปี พ.ศ. 2526 ต่อมาจำเลยที่ 2ได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1052 ประกอบมาตรา 1080 ดังนั้น แม้ต่อมาจำเลยที่ 2จะออกจากการเป็นหุ้นส่วนและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ไปแล้วก็ตาม เมื่อการออกไปดังกล่าวยังไม่เกิน 2 ปี โจทก์ยังมีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1077(2),1080, และ 1087
โจทก์แจ้งการประเมินภาษีให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดผู้ต้องเสียภาษีอากรแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ด้วยจำเลยที่ 2มิใช่ผู้ที่ถูกประเมิน กรณีไม่มีเหตุให้เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินให้แก่จำเลยที่ 2.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามลำดับ เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลแจ้งให้จำเลยที่ ๑ชำระหนี้ภาษีอากรสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และ ๒๕๒๖ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินภาษีอากรจำนวน ๓๗๐,๘๓๑.๓๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๒๗ โจทก์ไม่เคยแจ้งการประเมินภาษีแก่จำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าภาษีอากรจำนวน ๓๗๐,๘๓๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะที่เป็นผู้ที่จะต้องเสียภาษีอากร แต่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะที่เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหนี้ภาษีอากรโจทก์อยู่ จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ผู้ที่ถูกประเมินและไม่มีบทกฎหมายใดที่ให้เจ้าพนักงานประเมินต้องแจ้งการประเมินให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ทราบ ในเมื่อการประเมินของเจ้าพนักงานนั้น เจ้าพนักงานได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หนี้ภาษีอากรของจำเลยที่ ๑จึงต้องยุติไปตามที่เจ้าพนักงานของโจทก์แจ้งการประเมินไป ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นหุ้นส่วนและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๕ – กลางปี พ.ศ. ๒๕๒๗ซึ่งเป็นระยะเวลาที่มูลหนี้ภาษีอากรในคดีนี้เกิดขึ้นก็ตาม แต่เมื่อต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ย่อมต้องรับผิดในหนี้ต่าง ๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๕๒ ประกอบมาตรา ๑๐๘๑ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ ๒ ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ยังไม่เกิน ๑ ปี โจทก์ก็มีอำนาจที่จะฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในหนี้ของจำเลยที่ ๑ ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๖๘ประกอบมาตรา ๑๐๗๗(๒) มาตรา ๑๐๘๑ และมาตรา ๑๐๘๗
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะที่เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหนี้ภาษีอากรอยู่มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ ๒รับผิดในฐานะที่เป็นผู้ถูกแจ้งการประเมินภาษีอากรตามที่กล่าวแล้วข้างต้นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ คือ จำเลยที่ ๑เป็นหนี้ภาษีอากรอยู่เท่าใด จำเลยที่ ๒ ต้องเข้ามารับผิดในฐานะใดโจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่า หนี้ภาษีอากรที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระนั้นเป็นหนี้ภาษีอากรในปีใด จำนวนเท่าใด จำเลยที่ ๒ ซึ่งเคยเป็นหุ้น ส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ภาษีอากรอยู่เท่าใด จำเลยที่ ๒ ต้องเข้ามารับผิดในฐานะใด โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่าหนี้ภาษีอากรที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระนั้นเป็นหนี้ภาษีอากรในปีใดจำนวนเท่าใด จำเลยที่ ๒ ซึ่งเคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑และออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการไปยังไม่ครบสองปี จึงต้องรับผิดในหนี้สินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งคำฟ้องของโจทก์ ดังนี้เป็นการแสดงให้เห็นแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
พิพากษายืน.