คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4772/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีในส่วนแพ่ง ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ โดยให้จำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นร.ได้เข้ามาทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลชั้นต้นมีใจความว่า เมื่อคดีถึงที่สุดหากจำเลยแพ้คดีและไม่สามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้ร.ยอมให้บังคับคดีเอาจากที่ดินของร.แปลงที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกัน ดังนี้ จึงเป็นการที่ ร.ยอมตนเข้าผูกพันค้ำประกันหนี้ของจำเลยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ร.จะพ้นความรับผิดก็ต่อเมื่อจำเลยกลับเป็นฝ่ายชนะคดีหรือจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเท่านั้น ระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด ร.ไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาค้ำประกันโดยที่โจทก์และจำเลยไม่ได้ตกลงยินยอมด้วยเพราะมิใช่เป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้ ซึ่งผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 699และแม้ ร.จะถึงแก่กรรมไปก่อนที่ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ก็ตามแต่เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้นั้น โจทก์ก็มีสิทธิบังคับเอาแก่ที่ดินอันเป็นกองมรดกของ ร.ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 กับสั่งให้จำเลยคืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีส่วนอาญา ในส่วนแพ่งให้จำเลยใช้เงินโจทก์ 209,697 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องคดีส่วนแพ่งด้วยพร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งคำร้องว่าถ้าผู้ร้องหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาให้เป็นที่พอใจ และภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง นายรัตน์ภุมมะกสิกร ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันในศาลชั้นต้นว่าเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยแพ้คดีโจทก์และไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ได้ตามคำพิพากษา ยอมให้บังคับคดีเอาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 64126ซึ่งมีชื่อนายรัตน์เป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องที่ 1ภรรยาของนายรัตน์ ได้ลงชื่อให้ความยินยอมในหนังสือสัญญาดังกล่าวด้วย ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องคดีส่วนแพ่งและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกามีคำสั่งคำร้องว่า เรียงคำพิพากษาฎีกาเสร็จแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้แล้วศาลฎีกาพิพากษายืน โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเอาแก่นายรัตน์ แต่ไม่ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของนายรัตน์ต่อมาโจทก์เลิกบริษัท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัทโจทก์ขอให้ออกคำบังคับส่งให้จำเลยศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่นายรัตน์ นำมาทำสัญญาค้ำประกัน
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า นายรัตน์ถึงแก่กรรมแล้วที่ดินที่นายรัตน์นำมาทำสัญญาค้ำประกัน ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมทันที โจทก์ยึดทรัพย์ที่ดินหลักประกันหลังจากนายรัตน์ถึงแก่กรรม ทรัพย์ดังกล่าวจึงเป็นของผู้ร้อง โจทก์ไม่ได้ดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยก่อนจึงไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ดังกล่าว ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้การว่าโจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาแก่ผู้ค้ำประกันได้ทันทีโดยไม่จำต้องบังคับเอาแก่จำเลยก่อน กองมรดกของนายรัตน์มีหน้าที่ผูกพันรับผิดตามสัญญาค้ำประกันจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามคำพิพากษา ขอให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 64126ของนายรัตน์จากผู้ร้อง มีคำสั่งให้ปล่อยสิ่งปลูกสร้างซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินดังกล่าว คำขอนอกจากนี้ให้ยกผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองในข้อแรกว่า โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ที่ดินที่นายรัตน์นำมาเป็นหลักประกันในการเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาลชั้นต้นได้หรือไม่สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ร.2 มีความว่า…ข้าพเจ้านายรัตน์ภุมมะกสิกร… ขอทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อศาลจังหวัดภูเก็ตว่าเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยแพ้คดีโจทก์ และไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ได้ตามคำพิพากษา ข้าพเจ้ายอมให้บังคับคดีเอาจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 64126 เล่ม 642 หน้า 26 ตำบลบางซื่อ(บางเขนฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีชื่อนายรัตน์ ภุมมะกสิกร เป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้าได้ส่งโฉนดดังกล่าวมาพร้อมกับหนังสือสัญญาค้ำประกันนี้แล้ว…ได้ความว่า ขณะนายรัตน์เข้าทำสัญญาค้ำประกันนั้นศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์แล้ว ฉะนั้น จึงเป็นการค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่มีอยู่ ซึ่งนายรัตน์จะต้องรับผิดในเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ และนายรัตน์ยอมตนเข้าผูกพันจนกระทั่งคดีถึงที่สุด นายรัตน์จะพ้นจากความรับผิดก็ต่อเมื่อคดีถึงที่สุดโดยจำเลยกลับเป็นฝ่ายชนะคดี หรือจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น ทั้งในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุดนายรัตน์ไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาค้ำประกันโดยที่โจทก์และจำเลยไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย กรณีมิใช่เป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้ ซึ่งผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 699 ดังที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาได้ความว่าก่อนคดีถึงที่สุดคือเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2423 นายรัตน์ถึงแก่กรรม ดังนั้น ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันจึงตกเป็นกองมรดกของนายรัตน์เจ้ามรดกด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 ครั้นคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืน ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ จำเลยทราบคำบังคับแล้วไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ที่ดินที่นายรัตน์เจ้ามรดกนำมาเป็นหลักประกันอันเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนายรัตน์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1734 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share