คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย3ปีริบของกลางทั้งหมดศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้คืนของกลางบางส่วนแก่จำเลยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยศาลอุทธรณ์คงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน5ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218 บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตโดยจำเลยได้ทราบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้วดังนี้โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้แม้โจทก์มิได้แนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้องก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)เขตควบคุมมีอาณาบริเวณเพียงใดจำเลยกระทำผิดภายในเขตควบคุมหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ อำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้นๆไว้ดังนั้นการที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันมีไม้แปรรูปชนิดต่าง ๆ รวม 16,574 แผ่น ปริมาตร 185.49 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ซึ่งทางราชการได้ประกาศให้ประชาชนทราบทั่วกันแล้ว โดยจำเลยกับพวกมิได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 6, 7, 47, 48, 73, 74 ที่แก้ไขแล้ว ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และขอให้ริบของกลาง จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 6, 7, 47, 48, 73 ที่แก้ไขแล้วจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปีคำให้การของจำเลยที่ 1 มีประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ของกลางริบทั้งหมด จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนไม้กระบากของกลาง 3,131 แผ่นแก่จำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ฎีกาพร้อมกับขอแถลงการณ์ด้วยวาจา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ขอแถลงการณ์ด้วยวาจาแต่เห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดีจึงให้งด คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี ริบของกลางทั้งหมด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนไม้กระบากของกลางแก่จำเลยที่ 1 เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ศาลอุทธรณ์คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไม่เกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 คู่ความคงมีสิทธิฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยที่ 1 มีไม้แปรรูปชนิดต่าง ๆ ตามฟ้องไว้ในครอบครอง โดยไม้กระบากแปรรูป3,131 แผ่น ได้มาจากต้นกระบากในที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของผู้อื่นเป็นไม้ที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนไม้นอกนั้นเป็นไม้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 ที่ 3อยู่ในฐานะลูกจ้าง ไม่มีส่วนเป็นเจ้าของ ไม่ต้องรับผิด จำเลยฎีกาข้อแรกเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าเขตควบคุมการแปรรูปไม้เป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายมาในฟ้องทั้งต้องแนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการมาพร้อมฟ้องด้วย เมื่อโจทก์มิได้ดำเนินการให้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปเสียตั้งแต่ต้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ว ปรากฏตามคำฟ้องบรรยายว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่จำเลยได้ทราบประกาศกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้ เห็นว่าโจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่า สถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองนั้น อยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ จึงถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดแล้ว ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์มิได้แนบประกาศดังกล่าวมาพร้อมฟ้องนั้น ก็มิใช่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้ฟ้องโจทก์เสียไป เพราะโจทก์ก็ได้บรรยายมาในฟ้องเช่นเดียวกันว่า จำเลยได้ทราบประกาศฉบับนี้แล้ว โดยทางราชการได้ปิดประกาศ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่สาธารณสถานในท้องที่เกิดเหตุแล้วส่วนปัญหาที่ว่าเขตควบคุมจะมีอาณาบริเวณเพียงใด สถานที่ซึ่งอ้างว่าจำเลยกระทำผิดอยู่ภายในเขตควบคุมหรือไม่ ก็เป็นเพียงประเด็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ทั้งปรากฏว่าในชั้นสืบพยานโจทก์ก็ได้ส่งเอสการฉบับนี้แล้วอย่างไรก็ดี ตามประกาศดังกล่าวปรากฏว่าได้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ไว้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัดหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความผิดตามที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยนี้ ไม่ว่าจะกระทำลงในท้องที่ใดภายในราชอาณาจักรย่อมถือเป็นความผิดทั้งสิ้น จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับปัญหาต่อไปที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงในเรื่องการปิดประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ให้ฟังได้ตามฟ้องก็ดี ไม้ของกลางในคดีจำเลยซื้อมาจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ การกระทำของจำเลยจึงไม่ถือเป็นความผิดก็ดี และไม้ของกลางอยู่ในลักษณะสิ่งปลูกสร้าง แม้สภาพจะดูไม่เรียบร้อย แต่ก็พออยู่อาศัยได้จึงไม่ถือเป็นความผิดก็ดี ล้วนเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ปัญหาสุดท้ายจำเลยฎีกาอ้างเป็นข้อกฎหมายว่าการสอบสวนในคดีนี้ไม่ชอบเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจป่าไม้ไม่มีอำนาจที่จะกระทำการสอบสวนตามกฎหมาย เท่ากับไม่มีการสอบสวน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเห็นว่าอำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใด ย่อมเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้น ๆ ไว้ ดังนั้น การที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share