คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า พ. ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์มาตลอด โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยการรับมรดกมาจากบิดาและในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. ฝ่ายโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลใช้บังคับก่อนจำเลยยื่นฎีกาคู่ความจะฎีกาได้หรือไม่เพียงไร ต้องพิเคราะห์ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2337 ซึ่งนางพัน นามขยันได้ยกให้โจทก์ตั้งแต่ปี 2525 และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินแปลงนี้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อประมาณต้นปี 2531 จำเลยได้เข้ารบกวนการครอบครองของโจทก์ โดยเข้ามาไถที่ดินทางทิศเหนือและทิศตะวันออกในที่ดินแปลงนี้เป็นเนื้อที่ 3 ไร่เศษ และยังให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินดังกล่าวด้วย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินส่วนนี้ได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2337 โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครอง ให้จำเลยออกจากที่พิพาทและห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวหรือกระทำการใดอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้อง เดิมเป็นที่ดินของนางพันนามขยัน ซึ่งเป็นย่าของจำเลย นางพันมีบุตรคนเดียวชื่อนายเมิงกำพระบาง คือบิดาจำเลยระหว่างที่ นางพันยังมีชีวิตอยู่ได้อาศัยบิดามารดาของจำเลยตลอดมา บิดามารดาของจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูนางพัน นางพันไม่เคยยกที่ดินให้บุคคลอื่นเลย เมื่อนางพันถึงแก่กรรม ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นมรดกที่จำเลยและทายาททั้งหมดมีสิทธิได้รับจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางพันตามคำสั่งศาลโจทก์เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของนางคำตัน นามขยัน นางปั่นนามขยัน และนางบุญน้อย นามขยันซึ่งเป็นที่ดินติดกับที่ของนางพัน ในฐานะเป็นผู้ทำประโยชน์แทนทายาทเท่านั้นไม่ได้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ของนางพันแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2337 ตั้งอยู่ตำบลบ้านถ่อน อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายโจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครอง ให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการใดอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า นางพัน นามขยัน ขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2337 ตามเอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตลอด โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โดยรับมรดกมาจากนายเมิง กำพระบาง บิดาของจำเลยซึ่งเป็นบุตรของนางพัน และจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางพันฝ่ายโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด จึงเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงคดีนี้ราคาที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่ซึ่งมีผลใช้บังคับก่อนจำเลยยื่นฎีกา คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่เพียงใด ต้องพิเคราะห์ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่ยื่นฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย

Share