คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4768/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 กับโจทก์ได้ร่วมกันกระทำการโดยไม่สุจริต กล่าวคือ จำเลยที่ 2 ได้โอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับและฉบับอื่นให้แก่โจทก์ด้วยคบคิดกันฉ้อฉล โดยที่จำเลยที่ 2 มิได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย คำให้การดังกล่าวเป็นเพียงคำให้การปฏิเสธที่ไม่มีรายละเอียดแห่งการปฏิเสธว่า คบคิดกันฉ้อฉลอย่างไร จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตามคำให้การที่ว่า จำเลยที่ 2 มิได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบ เท่ากับจำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าสิทธิของโจทก์ที่ได้เช็คมานั้นไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คที่ฟ้องในฐานะผู้ทรงเนื่องจากไม่มีมูลหนี้นั่นเอง จำเลยที่ 1 ย่อมกล่าวอ้างและนำสืบได้เพราะเป็นการยกข้อต่อสู้ที่มีต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคนปัจจุบัน มิใช่ข้อต่อสู้ที่จำเลยที่ 1 มีต่อผู้ทรงคนก่อน ๆ อันจะเป็นการขัดต่อมาตรา 916

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ได้เช็คจำนวน ๖ ฉบับ รวมทั้งเช็คที่ฟ้องในคดีนี้ ๒ ฉบับ สั่งจ่ายเงินฉบับละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท มาชำระหนี้ค่าเพชรให้โจทก์ เช็คดังกล่าวมีจำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย และจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อสลักหลัง เมื่อถึงกำหนดชำระเงินโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง ๒ ฉบับ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน ๒๑๓,๑๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คทั้ง ๒ ฉบับ ดังฟ้อง เพราะโจทก์รับโอนเช็คดังกล่าวด้วยคบคิดกันฉ้อฉลกับจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์แต่อย่างใด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๑๓,๑๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยมิได้ขีดฆ่าคำว่า ผู้ถือออก จำเลยที่ ๒ สลักหลังโอนเช็คพิพาททั้ง ๒ ฉบับ ให้แก่โจทก์ ต่อมาเมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด โจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีของโจทก์ แล้วธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงิน คดีคงมีปัญหาว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่ ๒ โดยคบคิดกันฉ้อฉลและโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า เช็คพิพาททั้ง ๒ ฉบับ จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายระบุผู้รับเงินคือจำเลยที่ ๒ โดยมิได้ขีดฆ่าคำว่า ผู้ถือในเช็คออก จึงเป็นเช็คผู้ถือ การที่จำเลยที่ ๒ สลักหลังโอนให้แก่โจทก์ ย่อมเป็นประกัน (อาวัล) ผู้สั่งจ่าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๙๒๑ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คผู้ถือ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงตาม ป.พ.พ. มาตรา ๙๐๔ การที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าโจทก์รับโอนเช็คมาจากจำเลยที่ ๒ ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลนั้น จำเลยที่ ๑ จึงมีหน้าที่นำสืบและจะนำสืบได้ก็ต่อเมื่อ จำเลยที่ ๑ ได้ยกเรื่องดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ ๑ ยอมรับหรือปฏิเสธคำฟ้องโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นอีกด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง สำหรับคดีนี้จำเลยที่ ๑ กล่าวในคำให้การแต่เพียงว่า “จำเลยที่ ๒ กับโจทก์ได้ร่วมกันกระทำการโดยไม่สุจริต กล่าวคือ จำเลยที่ ๒ ได้โอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับและฉบับอื่นให้แก่โจทก์ด้วยคบคิดกันฉ้อฉล โดยที่จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นหนี้โจทก์แต่อย่างใด โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย” เห็นว่า คำให้การดังกล่าวเป็นเพียงคำให้การปฏิเสธที่ไม่มีรายละเอียดแห่งการปฏิเสธว่า คบคิดกันฉ้อฉลอย่างไร จำเลยที่ ๑ จึงไม่อาจนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตาม คำให้การจำเลยที่ ๑ ที่ว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นหนี้โจทก์แต่อย่างใด โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบ เท่ากับจำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าสิทธิของโจทก์ที่ได้เช็คมานั้นไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คที่ฟ้องในฐานะผู้ทรงเนื่องจากไม่มีมูลหนี้นั่นเอง จำเลยที่ ๑ ย่อมกล่าวอ้างและนำสืบได้เพราะเป็นการยกข้อต่อสู้ที่มีต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคนปัจจุบัน มิใช่ข้อต่อสู้ที่จำเลยที่ ๑ มีต่อผู้ทรงคนก่อน ๆ อันจะเป็นการขัด ป.พ.พ. มาตรา ๙๑๖ สรุปแล้วไม่ว่าโดยข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง รูปคดีไม่อาจฟังได้ว่าโจทก์คบคิดกันฉ้อฉลกับจำเลยที่ ๒ อย่างไร หรือโจทก์และจำเลยที่ ๒ ไม่มีมูลหนี้ต่อกันอันจะทำให้โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาท เมื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง ๒ ฉบับ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๙๐๐ , ๙๑๔ ประกอบด้วยมาตรา ๙๘๙ และจะต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share