คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงของคดีนี้โจทก์จำเลยแถลงรับกันอยู่ว่าหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งโจทก์มีสิทธิบังคับคดีเอากับจำเลยมีทุนทรัพย์เพียง 316,350 บาทซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด ทั้งปรากฏชัดว่าบรรดาทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้นั้นทุกรายการมีผู้ร้องขัดทรัพย์อยู่ จึงไม่เป็นการแน่นอนว่าโจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์สินที่ยึดไว้แล้วได้มากน้อยเพียงใด ประกอบกับหนี้ของโจทก์ที่จะบังคับกับจำเลยมีจำนวนแน่นอนและสูงกว่าหนี้ที่จำเลยฟ้องเรียกร้องจากโจทก์อยู่เป็นจำนวนถึง 90,000 บาทเศษ เฉพาะหุ้นที่โจทก์นำยึดขอขายทอดตลาด จำเลยก็รับว่ามีราคาน้อยเพียง 3,000 บาทเท่านั้นจึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าแม้จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีโจทก์ก็ไม่สามารถที่จะหักกลบลบหนี้กันได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 ข้อเท็จจริงที่ ปรากฏในสำนวนจึงมีพอที่ศาลจะสั่งได้ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่อีก

ย่อยาว

กรณีเนื่องจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วได้นำยึดหุ้นส่วนของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ในบริษัทน้ำแข็งพัทลุงจำกัด จำนวน 3 หุ้น กำหนดขายทอดตลาดวันที่ 14 มกราคม 2513 วันที่ 13มกราคม 2513 จำเลยร้องขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อน ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดขายทอดตลาดวันที่ 16 มีนาคม 2513 เป็นครั้งที่สอง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2513 จำเลยร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้อีก โดยมีเหตุแห่งข้ออ้างเช่นเดิม และว่าจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยเรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหาย 316,350 บาท ตามคดีแดงที่ 586/2511 คดียังไม่ถึงที่สุด

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ปรากฏชัดว่าหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีนี้มีถึง 400,000 บาทเศษ แม้คดีที่จำเลยฟ้อง โจทก์จะชนะก็ยังต้องบังคับคดีกับจำเลยต่อไป จึงให้ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าประเด็นที่โต้เถียงกันมีว่าทรัพย์ที่โจทก์ยึดไว้แล้วนั้นมีราคามากหรือน้อยกว่าหนี้ตามหมายบังคับคดีหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาตามประเด็นดังกล่าวแล้วมีคำสั่งชี้ขาด

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงของคดีนี้ โจทก์จำเลยแถลงรับกันอยู่ว่าหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งโจทก์มีสิทธิบังคับเอากับจำเลยมีทุนทรัพย์ถึง 400,000 บาทเศษ แต่คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ในข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหายมีทุนทรัพย์เพียง 316,350 บาท ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด ทั้งปรากฏชัดว่าบรรดาทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้นั้นทุกรายการมีผู้ร้องขัดทรัพย์อยู่ ฉะนั้น จึงไม่เป็นการแน่นอนว่าโจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์สินที่ยึดไว้แล้วได้มากน้อยเพียงใด ประกอบกับหนี้ของโจทก์ที่จะบังคับกับจำเลยมีจำนวนแน่นอนและสูงกว่าหนี้ที่จำเลยฟ้องเรียกร้องจากโจทก์อยู่เป็นจำนวนถึง 90,000 บาทเศษ เฉพาะหุ้นที่โจทก์นำยึดขอขายทอดตลาด จำเลยก็รับว่ามีราคาน้อยเพียง 3,000 บาทเท่านั้น กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าแม้จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีโจทก์ ก็ไม่สามารถที่จะหักกลบลบหนี้กันได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนจึงมีพอที่ศาลจะสั่งได้ ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่อีก

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share