แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงื่อนไขแนบกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า “หากมิได้ชำระเบี้ยประกันให้บริษัท ฯ ในงวดใด ก็ให้ยกกรมธรรม์ โดยไม่ต้องคุ้มครองในงวดนั้น และผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น” นั้นหมายความว่า ไม่ใช้กรมธรรม์ประกันภัยบังคับเอาแก่ผู้รับประกันภัยและผู้เอาประกันภัยในชั่วระยะนั้น ซึ่งเสมือนหนึ่งเป็นการเลิกสัญญากรมธรรม์ประกันภัยชั่วคราว ในระยะที่ไม่ชำระเบี้ยประกันนั่นเอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำรถยนต์ของจำเลยมาเอาประกันในวินาศภัยหรืออุบัติเหตุ จำเลยผิดนัดไม่ชำระเบี้ยประกันภัย จึงขอให้จำเลยใช้เงินกับดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยที่รถยนต์จำเลยบุบสลาย จำเลยบอกเลิกสัญญากับโจทก์ การที่จำเลยไม่ชำระเบี้ยประกันแก่โจทก์ ต้องถือว่ากรมธรรม์ประกันภัยเป็นอันยกเลิก
วันนัดสืบพยาน โจทก์จำเลยรับกันว่า สัญญากรมธรรม์ประกันภัยและเงื่อนไขท้ายสัญญาที่โจทก์จำเลยอ้างถูกต้อง คำว่า “ค่าเคลม” หมายถึงค่าเสียหายที่ฝ่ายโจทก์ชดใช้แก่จำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัย ไม่หมายถึงค่าเบี้ยประกันภัยที่ค้าง คู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเท่าที่คู่ความรับกันประกอบกับเอกสารท้ากันว่ากรมธรรม์ประกันภัยเลิกหรือไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่า สัญญาประกันภัยเลิกกัน นับแต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเบี้ยประกันแก่โจทก์ โจทก์ต้องแพ้คดีตามที่ท้าไว้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า
ตามเงื่อนไขแบบกรมธรรม์ข้อ ๓ ที่จำเลยอ้างว่า สัญญากรมธรรม์ประกันภัยเลิกกันแล้วนั้น มีข้อความว่า “หากมิได้ชำระเบี้ยประกันให้บริษัท ฯ ในงวดใด ก็ให้ยกกรมธรรม์โดยไม่ต้องคุ้มครองในงวดนั้น และผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น” ตามเงื่อนไขข้อ ๓ นี้แม้จะใช้คำว่ายกกรมธรรม์ก็ดี ก็มีผลเป็นการไม่ใช้กรมธรรม์นั้น บังคับเอาแก่ผู้รับประกันภัยและผู้เอาประกันภัยในชั่วระยะนั้น ซึ่งกล่าวได้เสมือนหนึ่งว่าเป็นการเลิกสัญญากรมธรรมืประกันภัยนั้นชั่วคราว ชั่วในระยะที่ไม่ชำระเบี้ยประกันนั้นเอง แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความต่อไปว่า การเลิกสัญญากรมธรรม์ประกันภัยชั่วคราวดังกล่าวแล้ว ได้ติดต่อกันตลอดไปตั้งแต่งวดที่ ๓๐ จนถึงงวดที่ ๔๒ จนจำเลยมีหนังสือศาลหมาย ล. ๑ ถึงโจทก์บอกเลิกสัญญากรมธรรม์ตามฟ้องทั้งหมด ซึ่งตามฟ้องของโจทก์ก็อ้างสิทธิเรียกเบี้ยประกันภัยมาเพียงถึงเวลาที่จำเลยบอกเลิกสัญญาตามเอกสาร ล. ๑ เท่านั้น ซึ่งดังได้วินิจฉัยมาแล้ว จึงถือได้ว่า สัญญากรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องได้ยกหรือเลิกติดต่อกันตลอดมาจนถึงวันที่จำเลยบอกเลิกตามเอกสาร ล. ๑ สัญญากรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องไม่ได้เคยกลับฟื้นคืนขึ้นมาใช้ได้ โดยการส่งเบี้ยประกันภัยกันใหม่อีกเลย จึงมีผลเป็นการเลิกสัญญากรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องกันตั้งแต่การไม่ชำระเบี้ยประกันภัยงวดที่ ๓๐ ตลอดมา โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า
พิพากษายืน