คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4755/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การนำสืบถึงการชำระเงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดง หรือมีการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม หรือแทงเพิกถอนในเอกสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสอง หมายถึงการนำสืบถึงการชำระต้นเงินเท่านั้นไม่รวมถึงการชำระดอกเบี้ยด้วย จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบถึงจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระไปได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) เมื่อปรากฏว่าจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้โจทก์ไปแล้ว มีจำนวนสูงกว่าจำนวนดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิจะได้ตามสัญญากู้และสัญญาจำนอง จึงต้องนำส่วนที่เกินไปชำระต้นเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา329 วรรคแรก และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องคิดยอดเงินมาให้ถูกต้อง เมื่อโจทก์คิดยอดหนี้มาไม่ถูกต้อง จึงชอบที่จะยกฟ้องแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นฟ้องใหม่ภายในอายุความ

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาโดยให้เรียกนายฟอง สุขสุวรรณ จำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกและจำเลยในสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 1 กับเรียกนางสมนึก สุขสุวรรณ จำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ 2
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญากู้ยืมจำนวน 105,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน60,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12880 ตำบลโคกหล่อ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ของจำเลยทั้งสองที่จำนองเป็นประกันออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การว่า ร่วมกันกู้ยืมเงินจากโจทก์ 60,000 บาทและจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้กับโจทก์จริง ต่อมาได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ไถ่ถอนจำนองให้จำเลยทั้งสอง อ้างว่าการชำระหนี้เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน 3 ฉบับ จำนวน 75,863.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี จากต้นเงิน 44,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า กู้ยืมเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้ทั้งสามฉบับรวมเป็นเงิน 44,000 บาทจริง ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญากู้ให้อ้างว่าการชำระหนี้เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 44,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ครบถ้วน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ครบถ้วนหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12880 ตำบลโคกหล่อ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรังพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นฟ้องใหม่ภายในอายุความ
โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 25มิถุนายน 2524 จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินจากโจทก์ 60,000 บาท และจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 12880 ตำบลโคกหล่อ อำเภอเมืองตรังจังหวัดตรัง พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์ วันที่ 27 เมษายน 2524จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์ 30,000 บาท วันที่ 15 มิถุนายน2525 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์ 9,000 บาท และวันที่ 25กรกฎาคม 2527 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์อีก 5,000 บาท ในการกู้ยืมเงินทุกครั้ง ตกลงชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ให้โจทก์ทุกเดือน ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสมุดบันทึกเอกสารหมาย ล.1 จำนวน 47 ครั้ง ทุกครั้งระบุว่าเป็นการชำระดอกเบี้ยและตามสมุดบันทึก เอกสารหมาย ล.3 ก็เช่นกันระบุเพียงว่าผ่อนชำระ1,000 บาท รวม 4 ครั้ง โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 นำเอาข้อเท็จจริงดังกล่าวมาคำนวณแล้วเป็นเงินมากกว่าดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องชำระตามสัญญา จึงต้องนำเงินส่วนที่เกินดอกเบี้ยหักต้นเงินให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) นั้นเห็นว่ากรณีตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวที่ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคลนั้นต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ซึ่งในคดีนี้การนำสืบถึงการชำระเงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดง หรือมีการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม หรือแทงเพิกถอนในเอกสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง หมายถึงการนำสืบถึงการชำระต้นเงินเท่านั้น ไม่รวมถึงการชำระดอกเบี้ยด้วย ดังนั้น จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธินำสืบถึงจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระไปได้ ไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เมื่อจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองชำระให้โจทก์ตามสมุดบันทึกสูงกว่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงินตามสัญญากู้และสัญญาจำนองนับแต่วันกู้ยืมมาจนถึงวันฟ้องเงินส่วนที่ชำระดอกเบี้ยซึ่งเกินกว่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีดังกล่าว จึงต้องนำไปชำระต้นเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 329 วรรคแรก ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องคิดยอดเงินมาให้ถูกต้อง และไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นฟ้องใหม่ภายในกำหนดอายุความนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

Share