แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
สิทธิเรียกร้องตามสัญญาซื้อขายที่ไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย ต้องเป็นการซื้อขายเพื่อบริโภคของลูกหนี้เองโดยไม่เกี่ยวข้องกับกิจการหรือธุรกิจหลักของลูกหนี้ เมื่อจำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้โจทก์ในประเทศไทย กิจการของจำเลยคือการซื้อและรับมอบสินค้ามาขายต่อให้แก่ลูกค้าการที่จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อขายต่อ ย่อมเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายลูกหนี้นั้นเองอันเข้าข้อยกเว้นตอนท้ายของมาตรา 193/34 (1) สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกค่าสินค้าจากจำเลยจึงไม่ได้มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) แต่มีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5)
ราคาสินค้าพิพาทกำหนดเป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิง โจทก์จึงฟ้องขอให้ชำระหนี้เป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิงได้ แต่จำเลยมีสิทธิจะส่งใช้หนี้ดังกล่าวเป็นเงินไทยก็ได้ โดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 196
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมเดือนกันยายน 2546 จำเลยซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์ไปจากโจทก์ 4 ครั้ง โจทก์ได้ส่งสินค้าให้จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 89,269.94 ปอนด์สเตอร์ลิง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 75,658.42 ปอนด์สเตอร์ลิง นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่นิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศเนเธอร์แลนด์ ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตฟ้องคดีนี้เพื่อกลั่นแกล้งจำเลยให้ได้รับความเสียหาย ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาตัวแทนซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีขาดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่โจทก์ส่งสินค้าครั้งสุดท้ายให้แก่จำเลย และโจทก์ส่งสินค้ามาให้จำเลยเพื่อส่งต่อลูกค้าอีกต่อหนึ่งซึ่งถือเป็นการกระทำแทนโจทก์ จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 193/34 (1) ตอนท้ายรายการสินค้าตามฟ้องเป็นหนี้เงินที่ได้แสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศสกุลยูโร แต่โจทก์ฟ้องเรียกเป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิง และหากศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จำเลยย่อมมีสิทธิชำระเป็นเงินไทยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 จำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้แก่โจทก์แต่ผู้เดียวมากว่า 20 ปี จนสินค้าของโจทก์เป็นที่รู้จักดี โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกการเป็นตัวแทนของจำเลยโดยไม่สุจริตเพื่อฉวยโอกาสรับผลประโยชน์ที่สูงขึ้นจากตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ ทั้งเป็นการบอกเลิกกระชั้นชิดจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย จึงขอเรียกค่าสร้างชื่อเสียงให้แก่โจทก์กับรายได้ที่จำเลยจะได้รับจากการเป็นตัวแทนอีกอย่างน้อย 5 ปี ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้แก่จำเลยเป็นเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 37,829.21 ปอนด์สเตอร์ลิง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 6,379.21 ปอนด์สเตอร์ลิง นับตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 5,280 ปอนด์สเตอร์ลิงนับแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2546 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 12,030 ปอนด์สเตอร์ลิง นับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2546 เป็นต้นไปและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 14,140 ปอนด์สเตอร์ลิง นับตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยจะชำระเงินเป็นเงินสกุลบาทให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราอ้างอิงของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่มีการใช้เงิน ถ้าไม่มีอัตราอ้างอิงในวันดังกล่าวให้ถือเอาอัตราในวันสุดท้ายที่มีอัตราอ้างอิงนั้น กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยต่อมามีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) หรือเข้าข้อยกเว้นตอนท้ายของมาตราดังกล่าวซึ่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์มีอายุความห้าปีตามมาตรา 193/33 (5) จำเลยอ้างว่าจำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้โจทก์ในประเทศไทยถือว่าเป็นสัญญาตอบแทนซึ่งกันและกันยิ่งกว่าการซื้อขายธรรมดา จึงเป็นการกระทำแทนโจทก์จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตอนท้ายของมาตรา 193/34 (1) เพราะจำเลยมิได้กระทำเพื่อกิจการของลูกหนี้ฝ่ายเดียว เห็นว่า การซื้อขายที่ไม่เข้าข้อยกเว้นตอนท้ายของมาตรา 193/34 (1) ต้องเป็นการซื้อขายเพื่อบริโภคเองของลูกหนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการหรือธุรกิจหลักของลูกหนี้ ข้อเท็จจริงฟังยุติว่ากิจการของจำเลยคือซื้อและรับมอบสินค้าจากโจทก์มาขายต่อแก่ลูกค้าในประเทศไทย การซื้อสินค้ามาขายต่อเช่นนี้ย่อมเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้คือจำเลยนั้นเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมมีกำหนดห้าปีนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ มิใช่สองปี ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น…
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า โจทก์จะกำหนดให้จำเลยชำระราคาสินค้าตามฟ้องเป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิงได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีใบแจ้งหนี้ราคาสินค้าพิพาทเอกสารหมาย จ.4 มาแสดงว่าหนี้ราคาสินค้าพิพาทเป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิง จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงต้องฟังว่าการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยตามฟ้องตกลงชำระหนี้กันด้วยเงินปอนด์สเตอร์ลิง โจทก์จึงฟ้องขอให้ชำระหนี้เป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิงได้ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 196 จำเลยมีสิทธิจะส่งใช้หนี้เงินดังกล่าวเป็นเงินไทยก็ได้ โดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยในประเด็นนี้จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 75,658.42 ปอนด์สเตอร์ลิง พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 12,758.42 ปอนด์สเตอร์ลิง นับตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2546 ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 10,560 ปอนด์สเตอร์ลิง นับตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2546 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 24,060 ปอนด์สเตอร์ลิง นับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2546 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 28,280 ปอนด์สเตอร์ลิง นับตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องทั้งหมดต้องไม่เกิน 13,611.52 ปอนด์สเตอร์ลิง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง