แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 2 รับโอนที่นาส่วนของโจทก์ที่ 1 มา จึงมามีชื่อในโฉนดที่นาพิพาทร่วมกับจำเลย โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่นาพิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยต่อสู้ว่าที่ส่วนของจำเลยซึ่งรับโอนมาจากเจ้าของเดิมนั้นมีมากกว่าส่วนของโจทก์ และได้ครอบครองเป็นส่วนสัดกันมาส่วนของโจทก์ไม่ใช่ครึ่งหนึ่งดังฟ้อง ดังนี้ ไม่ใช่กรณีที่จะวินิจฉัยตามมาตรา 1300 หากต้องวินิจฉัยโดยบทบัญญัติอันว่าด้วยเจ้าของรวมหรือกรรมสิทธิ์รวม
ย่อยาว
คดีได้ความว่า เดิมโจทก์ที่ 1 มีชื่อเป็นเจ้าของนาแปลงพิพาทโฉนดที่ 1035 ร่วมกับนางแดง ต่อมานางแดงยกส่วนของนางแดงให้แก่จำเลย ส่วนโจทก์ที่ 1 ขายส่วนของโจทก์ที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 2 ในขณะนี้ ในโฉนดที่นาแปลงพิพาทจึงมีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน 2 คน คือ โจทก์ที่ 2 กับจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 ครึ่งหนึ่ง ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่นาให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยให้การว่าส่วนของโจทก์ที่ 1 มีเนื้อที่เพียง 3 งานเท่านั้น ส่วนของจำเลยมีเนื้อที่ 3 ไร่ จำเลยได้ครอบครองส่วนของจำเลยมา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าควรมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทมากกว่าโจทก์ ต้องฟังว่า โจทก์ที่ 2 กับจำเลยมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง ดังที่ปรากฏในโฉนด พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยอ้างว่านางแดงและจำเลยครอบครองเป็นส่วนสัดมา ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้เกินกว่าครึ่งก่อนโจทก์ที่ 1 ขายให้ โจทก์ที่ 2 กรณีต้องบังคับตามมาตรา 1300 ฉะนั้นแม้ความจริงจะเป็นดังจำเลยอ้าง จำเลยก็ไม่มีทางชนะ เพราะจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์โอนขายกันโดยไม่สุจริตแต่ประการใด
จำเลยฎีกาว่า จะนำมาตรา 1300 มาใช้กับกรณีนี้ไม่ได้หากเป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1357
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ยกมาตรา 1300 ขึ้นวินิจฉัยคดีนั้นไม่ถูกต้อง หากข้อวินิจฉัยอยู่ในปัญหาเรื่องเจ้าของรวม หรือกรรมสิทธิ์รวมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 ลักษณะ 2 หมวด 3 และกฎหมายอื่นที่ว่าด้วยการมีชื่อในโฉนดร่วมกันแต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้ชี้ข้อเท็จจริงอันจะนำเอากฎหมายเหล่านั้นมาปรับบทได้ จึงพิพากษายก ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่