แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนข้อเท็จจริงศาลฎีกาต้องถือตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น ถ้าข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลอุทธรณ์ฟังมายังไม่พอ ศาลฎีกาหยิบยกข้อเท็จจริงอย่างอื่นขึ้นพิจารณาประกอบด้วยได้
ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2485 มาตรา4 แสดงว่า ที่ดินซึ่งรัฐบาลจะจัดตั้งนิคมสร้างตนเองได้นั้น พึงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ายังไม่มีผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองทำกินอยู่ก่อน ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดิน 25 ไร่นี้ จำเลย(ซึ่งเป็นสมาชิกของนิคม) ได้ครอบครองทำประโยชน์มาก่อน ทางราชการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรี และที่ดินรายนี้ไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่าเสียแล้วในขณะพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี พ.ศ.2485 ออกตามอำนาจในพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2485 ใช้บังคับ (ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 974/2505)เช่นนี้จะนำกฎหมายหรือข้อบังคับว่าด้วยการเข้าอยู่ในที่ดินจัดสรรของนิคมฯมาใช้บังคับไม่ได้ คำสั่งที่ผู้ปกครองนิคมฯออกประกาศถอนสิทธิให้จำเลยออกไปจากที่ดินไม่มีผลแก่จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยจะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศคำสั่งนั้น ก็จะเอาผิดแก่จำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับอนุญาตจากทางราชการให้เข้าทำกินและเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองลพบุรี เนื้อที่ 25 ไร่ ครั้นวันที่ 11 กรกฎาคม 2505 ผู้ปกครองนิคมเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจได้ออกหนังสือประกาศถอนสิทธิของจำเลยออกจากการเป็นสมาชิกและให้ถอนตัวออกไปจากนิคมภายใน 60 วันเนื่องจากจำเลยฝ่าฝืนข้อบังคับของนิคมโดยโอนสิทธิครอบครองที่ดินให้คนอื่นก่อนได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยสมบูรณ์ และเปลี่ยนมือให้ผู้อื่นทำประโยชน์ จำเลยทราบคำสั่งแล้ว บังอาจไม่ยอมถอนตัวออกไป อันเป็นการขัดคำสั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 มาตรา 11 พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรี พ.ศ. 2485 มาตรา 11 ข้อบังคับนิคมสร้างตนเอง ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2486 ข้อ 4, 5(2)(4)(13)ข้อ 6(8) ข้อ 11(1) ข้อ 13(1)(3)
จำเลยให้การว่า ประมาณ 20 ปีแล้ว จำเลยได้จับจองที่ดิน 25 ไร่หักร้างถางป่าตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยและประกอบอาชีพกสิกรรมจนเป็นที่เตียนทั้งหมด ได้ปลูกโรงเก็บสินค้า โรงปศุสัตว์และโรงคนงานเมื่อ พ.ศ. 2495 จำเลยเข้าเป็นสมาชิกนิคม ทางนิคมให้จำเลยครอบครองทำประโยชน์ที่ดินดังกล่าว ได้ปลูกสร้างเพิ่มเติมจนกลายเป็นตลาดการค้าชื่อ “ตลาดลำนารายน์”ต่อมาทางอำเภอไชยบาดาลให้รื้อสิ่งปลูกสร้าง มิฉะนั้นต้องเช่าที่ดินต่ออำเภอ จำเลยไม่ยอมผู้ปกครองนิคมจึงได้ออกประกาศถอนสิทธิของจำเลยให้ถอนตัวออกจากที่ดิน จำเลยไม่เคยฝ่าฝืนข้อบังคับของนิคม และไม่ได้รับคำสั่งของผู้ปกครองนิคม
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยครอบครองที่ดินมา 20 ปีแล้ว ได้ใช้ที่ดินปลูกสร้างห้องแถวและตลาด แต่ไม่เต็ม 25 ไร่ จำเลยเป็นสมาชิกของนิคม ต่อมาจำเลยขายที่ดินบางส่วนให้ผู้อื่นฝ่าฝืนข้อบังคับจำเลยทราบคำสั่งของผู้ปกครองนิคมแล้ว ไม่ยอมถอนตัวออกไปในกำหนดพิพากษาว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 มาตรา 11 พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี พ.ศ. 2485 มาตรา 11 จำคุก 2 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษ 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยยอมให้ผู้อื่นหาผลประโยชน์ในที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาตฝ่าฝืนข้อบังคับ ข้อ 13(3) พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายส่วนข้อเท็จจริงศาลฎีกาต้องถือตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา แต่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเพียงว่า จำเลยเป็นสมาชิกของนิคมฯ จำเลยได้ปฏิบัติการฝ่าฝืนข้อบังคับของนิคมฯ โดยการยอมให้คนอื่นเข้ามาทำการหาประโยชน์ในที่ดินนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองนิคมก่อน ผิดต่อข้อบังคับของนิคมฯ ข้อ 13(3) และเจ้าหน้าที่ได้สั่งให้จำเลยออกจากนิคมแล้วจำเลยขัดคำสั่งไม่ยอมออกไป ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานี้ยังไม่พอ ศาลฎีกาจึงหยิบยกข้อเท็จจริงอย่างอื่นขึ้นพิจารณาประกอบด้วย เพราะคดีนี้เป็นคดีอาญาและจำเลยให้การต่อสู้ไว้มีปัญหาที่จะพึงวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าที่ดินรายพิพาทนี้เป็นที่ดินซึ่งนิคมฯ จัดสรรให้แก่จำเลยเข้าอยู่ในฐานะเป็นสมาชิกหรือที่ดินซึ่งจำเลยครอบครองทำประโยชน์มาก่อนการจัดตั้งนิคมฯ เมื่อ พ.ศ. 2485
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี พ.ศ. 2485 นี้ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะจัดตั้งนิคมนี้ ตามมาตรา 4 มีว่า “ให้รัฐบาลมีอำนาจจัดตั้งนิคมในลักษณะและรูปใด ๆ เพื่อให้ประชาชนได้มีที่ดินเคหสถานประกอบการอาชีพเป็นหลักแหล่งในเขตที่ดินที่ได้หวงห้ามไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าจัดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ดังนี้แสดงว่า ที่ดินซึ่งรัฐบาลจะจัดตั้งนิคมฯ ได้นั้น พึงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ายังไม่มีผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองทำกินอยู่ก่อน จำเลยนำสืบฟังได้ว่า ที่ดินแห่งนี้พัฒนาเป็นลำดับมาจนกลายเป็นทำเลย่านตลาดการค้า เรียกว่าตลาดลำนารายน์ ในอำเภอไชยบาดาลไปแล้ว การที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ปกครองนิคม ก็โดยจำเลยถือว่า ที่รายนี้เป็นของจำเลยจับจองครอบครองมา หาใช่จำเลยเข้ามาอยู่โดยอาศัยสิทธิในฐานะสมาชิกเมื่อกรมประชาสงเคราะห์จัดตั้งนิคมฯ ขึ้นไม่ การที่จำเลยเข้าเป็นสมาชิกของนิคมสร้างตนเองเป็นเพราะเหตุใดก็ตามทีย่อมไม่ลบล้างความจริงที่ว่าจำเลยใช้สิทธิเข้าครอบครองทำกินในที่รายนี้มาก่อนนั้นได้ จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่าที่นั้นเป็นของจำเลยถือสิทธิครอบครองมาโดยชอบแต่ดั้งเดิม หาใช่ได้รับส่วนแบ่งในฐานะเป็นสมาชิกของนิคมฯ ใน พ.ศ. 2485 ไม่ ที่จำเลยอนุญาตให้เอกชนและบริษัทเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่รายนี้บางส่วนก็โดยจำเลยถือว่าเป็นที่ดินของจำเลย ซึ่งจำเลยมีอำนาจจะจัดการแก่ทรัพย์สินของตนได้โดยชอบนั่นเอง จึงเป็นอันฟังได้ว่าที่ดิน 25 ไร่นี้ จำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์มาก่อนทางราชการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรี และที่ดินรายนี้ไม่ใช่ที่รกร้างว่างเปล่าเสียแล้วในขณะที่พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี พ.ศ. 2485 อันออกตามอำนาจในพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 ออกใช้บังคับตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 974/2505 เช่นนี้จะนำกฎหมายหรือข้อบังคับว่าด้วยการเข้าอยู่ในที่ดินจัดสรรนิคมสร้างตนเองมาใช้บังคับไม่ได้ คำสั่งที่ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองออกประกาศถอนสิทธิให้จำเลยออกไปจากที่ดินไม่มีผลแก่จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นแม้จำเลยจะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศคำสั่งนั้น ก็จะเอาผิดแก่จำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างหาได้ไม่ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์