คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4710/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือบอกกล่าวแต่ละฉบับที่จำเลยมีไปถึงโจทก์ได้กำหนดให้โจทก์ไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและชำระเงินที่ค้างชำระแก่จำเลยที่ 1 ตามวันแห่งปฏิทิน การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยไม่ต้องเตือนให้ชำระอีก แต่การที่จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวอีกครั้ง แจ้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและชำระเงินในส่วนที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่จำเลยภายใน 7 วัน นับจากวันที่ออกหนังสือหากเกินกำหนดนี้โจทก์ไม่ไป จำเลยจะถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอีกต่อไป แสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่ได้ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อหนังสือบอกกล่าวฉบับ ดังกล่าวให้เวลาปฏิบัติตามภายใน 7 วัน ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดในสัญญาซึ่งกำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนวันจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ การบอกกล่าวของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบและสัญญาดังกล่าวยังมีผลบังคับอยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ยินยอมชำระเงินส่วนที่เหลือจำนวน ๒,๐๐๙,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยทั้งสาม หากจำเลยทั้งสามไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๑,๙๙๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่า จำเลยทั้งสามจะดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวหรือชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๕ (ที่ถูกเป็น ๒๕๓๖) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ผิดสัญญาหรือไม่ เห็นว่า หนังสือบอกกล่าวแต่ละฉบับที่จำเลยที่ ๑ มีไปถึงโจทก์ได้กำหนดให้โจทก์ไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและชำระเงินในส่วนที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อโจทก์ไม่ไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์และไม่ยอมชำระเงินในส่วนที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ ๑ ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยไม่ต้องเตือนให้ชำระหนี้อีก แต่การที่ผู้จัดการฝ่ายนิติกรรมสัญญาของจำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือบอกกล่าวอีกครั้ง แจ้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและชำระเงินในส่วนที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ ๑ ภายใน ๗ วัน นับจากวันที่ออกหนังสือ หากเกินกำหนดนี้ โจทก์ไม่ไป จำเลยที่ ๑ จะถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอีกต่อไปนั้น แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อหนังสือบอกกล่าวฉบับดังกล่าวให้เวลาโจทก์ปฏิบัติตามภายใน ๗ วัน ขัดต่อ ข้อกำหนดในสัญญาซึ่งกำหนดไว้ไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ก่อนวันจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ การบอกกล่าวของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการไม่ชอบและสัญญาดังกล่าวยังมีผลบังคับอยู่ เมื่อปรากฏในภายหลังว่าโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและรับเงินในส่วนที่ค้างชำระทั้งหมดในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๕ (ที่ถูกเป็น ๒๕๓๖) แต่จำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๓ ตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๓๕ กรณีเช่นนี้ถือว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์
พิพากษายืน .

Share