แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีสาเหตุกัน จนกระทั่งจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีแพ่งขอให้เปิดทางภารจำยอมคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาปรากฏว่าประจักษ์พยานโจทก์คงมีแต่ตัวโจทก์ทั้งสองและ ส. บุตรโจทก์ทั้งสอง ดังนี้การรับฟังคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองมีความสงสัยตามสมควร ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดหรือไม่ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1ที่ 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างวันที่ 8 ตุลาคม 2530 ถึงวันที่ 11ตุลาคม 2530 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งหกร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยทั้งหกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินตามโฉนดที่ 612 ตำบลหนองเสม็ด อำเภอเมืองตราดจังหวัดตราด แล้วร่วมกันทำให้เสียทรัพย์โดยทำลายหลักเสารั้วไม้ของโจทก์ทั้งสองที่ปักไว้ในที่ดินดังกล่าว 17 ต้น ไม้คร่าว 2 ท่อนรวมราคา 1,000 บาท และลักทรัพย์ไม้รั้ว 17 ต้น ไม้คร่าว 2 ท่อนดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองไปเหตุเกิดที่ตำบลหนองเสม็ด อำเภอเมืองตราดจังหว้ดตราด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 358,352, 365, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1ที่ 2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362 และ 365ส่วนจำเลยอื่นไม่มีมูลให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยกฟ้องจำเลยอื่น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 83 จำคุกคนละ 3 เดือน คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีโจทก์ทั้งสองและนายสุเทพ งาเจือ บุตรของโจทก์ทั้งสองเป็นพยานเบิกความสรุปได้ว่าเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2530จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกได้ชักหลักไม้ที่โจทก์ทั้งสองปักไว้ประมาณ10 ต้น แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกได้นำเสาปูนและไม้ไปพาดข้ามคูน้ำที่โจทก์ทั้งสองขุดไว้ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1ที่ 2 มีสาเหตุกันโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ยอมให้โจทก์ทั้งสองปักเสาและเดินสายไฟฟ้าผ่านที่ดิน โจทก์ทั้งสองจึงขุดคูน้ำแล้วใช้ไม้ปักขวางกั้นทางไม่ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 เดินผ่านไปสู่ทางสาธารณะ จำเลยที่ 1 จึงฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ขอให้เปิดทางภาระจำยอมและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ดังนั้นจึงต้องรับฟังคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ด้วยความระมัดระวังประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความแตกต่างขัดแย้งกันกล่าวคือ โจทก์ที่ 1เบิกความว่า เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2530 เวลา 16 นาฬิกา โจทก์ที่ 1 กลับจากเยี่ยมมารดาโจทก์ที่ 2 ขณะเดินเข้าบ้านเห็นจำเลยที่ 1ที่ 2 มีมีดขอ กำลังถางหญ้าและชักหลักที่โจทก์ทั้งสองทำกั้นไว้โจทก์ที่ 1 ไม่กล้าต่อว่าเพราะเกรงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะทำร้ายเย็นวันนั้นโจตทก์ที่ 2 ออกไปดูแล้วกลังมาบอกโจทก์ที่ 1 ว่าหลักหายไป 10 ต้นแต่โจทก์ที่ 2 เบิกความว่า วันนั้นเกือบมืดแล้วโจทก์ที่ 2ออกไปดูปรากฏว่าหลักที่ปักไว้หายไปหมด ซึ่งไม่ตรงกับนายสุเทพเบิกความว่า วันที่ 8 ตุลาคม 2530 พยานไปตกปลา เวลาประมาณ 16นาฬิกา พยานเห็นจำเลยที่ 1 ถือมีดขอ จำเลยที่ 2 ถือจอบไปถางหญ้าและดึงเสาไม้ออก พยานไม่กล้าห้ามเพราะกลัวเกิดเหตุร้ายพยานกลับบ้านได้บอกเล่าให้โจทก์ทั้งสองทราบ แต่โจทก์ที่ 2 กลับเบิกความว่า นายสุเทพกลับมาไม่ได้คุยอะไรให้ฟัง พยานโจทก์อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์อันเดียวกันแต่เบิกความแตกต่างขัดแย้งกันนอกจากนั้นประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามมิได้ว่ากล่าวห้ามปรามจำเลยที่ 1ที่ 2 แต่อย่างใด ที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีมีดขอเกรงจะทำร้ายหรือกลัวเกิดเหตุร้ายก็ชอบที่จะไปแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อมิได้ดำเนินการอย่างใดจึงส่อให้เห็นเป็นพิรุธ ในคดีแพ่งที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดทางภาระจำยอม ศาลชั้นต้นเผชิญสืบถนนและที่ดินพิพาทแล้วมีคำสั่งตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2530และสำเนาคำสั่งลงวันที่ 7 ตุลาคม 2530 เอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 สำเนาคำสั่งเอกสารหมาย จ.3 มีข้อความว่า “โจทก์ (หมายถึงจำเลยที่ 1)อาจใช้ไม้หรือวัตถุอื่นใดทอดข้ามแอ่งน้ำเข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ได้เป็นการชั่วคราว…” แสดงว่าการใช้ไม้หรือวัตถุอื่นใดทอดข้ามแอ่งน้ำเข้าออกสู่ที่ดินนั้นไม่จำต้องรื้อถอนรั้วของโจทก์ทั้งสองเจือสมกับที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 นำสืบว่า บริเวณที่นำไม้ไปวางพาดนั้นไม่มีไม้ปักเป็นแนวรั้วขวางทางไว้ ส่วนที่มีไม้ปักกั้นอยู่นั้นคงเป็นเฉพาะที่ดินส่วนที่เป็นของนายเจริญ นกน้อยพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองที่นำสืบมา มีความสงสับตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2ได้กระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.