แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย จำคุกจำเลยที่ 1ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 1 ปี ฐานลักทรัพย์จำคุกจำเลยที่ 1ที่ 6 และที่ 7 คนละ 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93(13) กึ่งหนึ่ง จำคุก 4 ปี 6 เดือนฐานทำให้เสียทรัพย์จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 คนละ6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ 3 ให้เพิ่มโทษฐานทำร้ายร่างกายหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน และเพิ่มโทษฐานทำให้เสียทรัพย์กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93(13) เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 9 เดือน มีผลเท่ากับว่าเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 6และที่ 7 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเกี่ยวกับโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 แต่ละฐานไม่เกิน 5 ปีคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในคดีหากฟังตามฎีกาจำเลยการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายกับทำให้เสียทรัพย์เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ทั้งจำเลยไม่เห็นด้วยกับการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์และไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มโทษจำเลยที่ 3โดยอ้างพฤติการณ์แห่งคดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 340, 340 ตรี, 80, 288, 358, 93 ริบเหล็กขูดชาฟท์และรถยนต์ของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 3 และนับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีของศาลมณฑลทหารบกที่ 5 (ศาลจังหวัดสงขลา) ให้จำเลยทั้งเจ็ดคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 9,300 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเพื่อขอเพิ่มโทษและขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 335(1)(7), 358, 83ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4จำเลยที่ 4 และที่ 5 อายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำเลยที่ 3 กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ให้เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93(13)ฐานทำร้ายร่างกาย ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 6 และที่ 7คนละ 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 4 ที่ 5 คนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันลักทรัพย์จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 4ที่ 5 คนละ 1 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือนฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ จำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 6 และที่ 7คนละ 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4 ที่ 5 คนละ 3 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 4 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3มีกำหนด 6 ปี จำคุกจำเลยที่ 4 ที่ 5 คนละ 2 ปี 3 เดือน นับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ท.551/2523 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 5 (ศาลจังหวัดสงขลา) ริบมีดและเหล็กขูดชาฟท์ของกลาง ส่วนรถยนต์ของกลางคืนเจ้าของและให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 9,300 บาท แก่ผู้เสียหาย
โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานทำร้ายร่างกายเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกจำเลยที่ 3มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ฐานทำให้เสียทรัพย์เพิ่มโทษจำเลยที่ 3กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93(13) เป็นจำคุกจำเลยที่ 3มีกำหนด 9 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 3 ไว้6 ปี 7 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกายจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 1 ปี ลงโทษฐานลักทรัพย์จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93(13) กึ่งหนึ่ง จำคุก 4 ปี 6 เดือนลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7คนละ 6 เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ 3 ให้เพิ่มโทษฐานทำร้ายร่างกายหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 ในฐานนี้ 1 ปี 4 เดือน และเพิ่มโทษฐานทำให้เสียทรัพย์กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93(13) เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 ในฐานนี้ 9 เดือน มีผลเท่ากับว่า เฉพาะจำเลยที่ 1ที่ 6 และที่ 7 ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 3นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเกี่ยวกับโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 แต่ละฐานไม่เกิน 5 ปีคดีนี้จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยที่ 1ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้หากฟังตามฎีกาจำเลย การกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายกับทำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ทั้งจำเลยไม่เห็นด้วยกับการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ และไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มโทษจำเลยที่ 3โดยอ้างพฤติการณ์แห่งคดี เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7.