คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายที่ดินมีโฉนดซึ่งแม้จะมิได้ทำเป็นหนังสือซื้อขายกันให้ถูกต้อง แต่เมื่อฝ่ายผู้ซื้อได้ครอบคอรงมากว่า 10 ปีแล้ว ก็ย่อมได้ที่เป็นสิทธิในฐานะครอบครอง
ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่ใช่คู่ความในคดีที่มีคำพิพากษาตามยอมระหว่างโจทก์จำเลย ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาในเรื่องขัดทรัพย์เป็นอย่างอื่นได้ ไม่อยู่ในบังคับของ ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 143 ความในมาตรานี้หมายเฉพาะบังคับคู่ความให้เป็นไปตามคำพิพากษา

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งที่ดิน ผลที่สุดทำยอมแบ่งคนละครึ่ง โจทก์นำยึดที่ดินมีโฉนด ๑ แปลงเพื่อขายทอดตลาดแบ่ง ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินรายนี้เป็นของผู้ร้องโดย จ.บิดาโจทก์ขายให้ ต.บิดาผู้ร้อง ต.ตาย ผู้ร้องได้รับมรดกครอบครองมา ๒๐ ปีเศษ โจทก์จำเลยได้ตกลงกับผู้ร้องว่าเมื่อประกาศรับมรดก จ.แล้ว จะโอนให้ผู้ร้องอีกต่อหนึ่งโจทก์ต่อสู้หลายประการ จำเลยรับตามคำร้องขัดทรัพย์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังตามคำร้องขัดทรัพย์และสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิในที่ดินรายนี้โดยทางครอบครองตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๘๒ ให้ถอนการยึด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า บิดาโจทก์ได้ขายที่พิพาทแก่บิดาผู้ร้องฝ่ายผูร้องได้ครอบครองมากกว่า ๑๐ ปีแล้ว แม้จะมิได้ทำหนังสือซื้อขายกันให้ถูกต้อง ผู้ร้องก็ย่อมได้ที่เป็นสิทธิในฐานะครอบครอง และที่ผู้ร้องมิได้เข้าเป็นคู่ความจะถือว่าเป็นการสละสิทธิไม่ได้
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลพิพากษาเด็ดขาดไปแล้วตามสัญญายอม ศาลจะกลับพิพากษาเป็นอย่างอื่นมิได้ โดยอ้าง ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๔๓ มานั้น ความในมาตรานี้หมายเฉพาะการบังคับคู่ความเป็นไปตามคำพิพากษา แต่ผู้ร้องไม่ใช่คู่ความในคดีมีคำพิพากษา ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาเป็นอย่างอื่นได้
พิพากษายืน

Share