แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย และใช้มีดเป็นอาวุธแทงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งโจทก์ก็ได้นำสืบไปตามข้อหาดังระบุในฟ้องและตรงตามคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ด้วยนั้น เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณามิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริง ซึ่ง กล่าวในฟ้องและตรงตามคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอลงโทษแล้วแม้ข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์และการกระทำของจำเลยจะฟังได้ว่าจำเลยเป็นเพียงสนับสนุนช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก ผู้อื่นในการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสโดยโจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนตามที่โจทก์ฟ้องได้ เพราะความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดมีโทษเบากว่าการกระทำความผิดฐานเป็นตัวการตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2537 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันลักเอาสายร่มห้อยคอพร้อมพระเครื่อง 1 องค์ ราคา 5,000 บาทและนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคา 2,000 บาท ของนายบัณฑิต มูลมากผู้เสียหายไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำ และใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายถูกบริเวณหลัง จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ทั้งนี้ เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป เพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เหตุเกิดที่แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 297, 83 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 7,000 บาท ที่ไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297, 86 จำคุก 1 ปี 6 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติว่าจำเลยมีส่วนช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกผู้อื่นในการกระทำผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นการสนับสนุนในการกระทำความผิด
คดีนี้มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกามา เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายในข้อฎีกาที่ว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง และข้อหาไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิดทำร้ายผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกชิงทรัพย์ของผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย และใช้มีดเป็นอาวุธแทงประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส และโจทก์ก็ได้นำสืบไปตามข้อหาดังระบุในฟ้องและตรงตามคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ในข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสด้วยนั้น จึงเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณามิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องและตรงตามคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอลงโทษแล้ว แม้ข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์และการกระทำของจำเลยจะฟังได้ว่าจำเลยเป็นเพียงสนับสนุนช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกผู้อื่นในการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส โดยโจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิดคดีนี้ ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนตามที่โจทก์ฟ้องนี้ได้ เพราะความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดมีโทษเบากว่าการกระทำความผิดฐานเป็นตัวการตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน