แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ประจักษ์พยานทั้งสามของโจทก์เบิกความได้สอดคล้องต้องกันและรับกันเป็นอย่างดีไม่มีตอนใดขัดต่อเหตุผลหรือขัดกันเองโดยเฉพาะการรู้เห็นของพยานทั้งสามมิได้เห็นเหตุการณ์ตลอดหมดทุกคนแต่เหตุการณ์คนละตอนกันเหตุการณ์ตอนใดที่พยานคนใดไม่รู้เห็นก็ไม่เบิกความถึงคำเบิกความจึงน่าเชื่อถือประกอบกับชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยทั้งสี่ก็ให้การรับสารภาพโดยมีรายละเอียดเจือสมพยานโจทก์เมื่อฟัง คำให้การชั้นสอบสวน ประกอบกับ คำเบิกความของ ประจักษ์พยานโจทก์แล้วเชื่อโดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมเป็นคนร้าย จำเลยทั้งสี่กับพวกมาด้วยกันและหลบหนีไปด้วยกันแม้จำเลยทุกคนจะไม่ได้ลงมือยิงและพวกของจำเลยคนอื่นเอาทรัพย์สินของผู้ตายกับผู้เสียหายไปแต่ก็มีจำเลยที่1รวมอยู่ในกลุ่มคนร้ายที่เข้ามาในบ้านจำเลยที่2เป็นผู้ขับรถพาคนร้ายมาและพาคนร้ายหลบหนีจำเลยที่3ใช้ปืนจี้บังคับ จ.ไว้และจำเลยที่4รวมอยู่ในกลุ่มคนร้ายที่หน้าบ้านขณะเกิดเหตุเป็นการคุมเชิงอยู่ใกล้ๆในลักษณะที่พร้อมช่วยเหลือกันได้ทันทีเป็นลักษณะการ แบ่งหน้าที่กันทำถือได้ว่า ร่วมกระทำผิดด้วยกัน
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 16 ตุลาคม 2532 เวลา กลางคืน หลังเที่ยง จำเลย ทั้ง สี่ กับพวก อีก 5 คน ที่ ยัง ไม่ได้ ตัว มา ฟ้อง โดย มีอาวุธปืน สั้น จำนวน 3 กระบอก พา ติดตัว ไป และ ใช้ รถยนต์กระบะ เป็นยานพาหนะ เพื่อ กระทำ ความผิด ได้ ร่วมกัน ปล้นทรัพย์ เอา เงินสด จำนวน5,000 บาท เครื่อง รับ โทรทัศน์ 1 เครื่อง ราคา 8,000 บาทเครื่อง เล่น วีดีโอ เทป 1 เครื่อง ราคา 7,500 บาท วิทยุ เทป 1 เครื่องราคา 5,000 บาท รวม ราคา 25,500 บาท ของ นาย ถาวร แทนกุล และ นาง ชลธิดา แทนกุล ผู้เสียหาย ไป โดยทุจริต โดย ใน การ ปล้นทรัพย์ ดังกล่าว จำเลย ทั้ง สี่ กับพวก ร่วมกัน ใช้ อาวุธปืน สั้น ที่ พา ติดตัว ไปนั้น ยิง ประทุษร้าย ร่างกาย นาย ถาวร จำนวน หลาย นัด ถูก บริเวณ แก้ม ซ้าย หาง คิ้ว ซ้าย ขมับ ซ้าย ลำคอ ด้านขวา ทั้งนี้ โดย จำเลย ทั้ง สี่ กับพวกมี เจตนาฆ่า โดย ไตร่ตรอง ไว้ ก่อน เพื่อ ความสะดวก ใน การ ที่ จะ กระทำความผิด ปล้นทรัพย์ และ เพื่อ เอาไว้ ซึ่ง ผลประโยชน์ อัน เกิดจาก การ ที่จำเลย ทั้ง สี่ กับพวก ได้ กระทำ ความผิด ปล้นทรัพย์ ให้ ยื่น ให้ ซึ่งทรัพย์ นั้น ยึดถือ เอา ทรัพย์ นั้น ไว้ เป็นเหตุ ให้ นาย ถาวร ถึง แก่ ความตาย และ จำเลย ทั้ง สี่ กับพวก ร่วมกัน ใช้ รถยนต์กระบะ พา ทรัพย์นั้น ไป และ หลบหนี ให้ พ้น จาก การ จับกุม เหตุ เกิด ที่ ตำบล ควนศรี อำเภอ บ้านนาสาร จังหวัด สุราษฎร์ธานี ขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวล กฎหมาย อาญา มาตรา 83, 91, 288, 289, 340, 340 ตรี ให้ คืน เครื่อง รับโทรทัศน์ เครื่อง เล่น วีดีโอ และ วิทยุ เทป แก่ เจ้าของ ริบ รถยนต์กระบะและ หัว กระสุนปืน และ ให้ จำเลย ทั้ง สี่ ร่วมกัน คืน หรือ ใช้ เงิน จำนวน5,000 บาท แก่ เจ้าของ ด้วย
จำเลย ทั้ง สี่ ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง สี่ มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 340 วรรคท้าย ประกอบ มาตรา 340 ตรี ,83 การกระทำ ของ จำเลย ทั้ง สี่ เป็น กรรมเดียว ผิด กฎหมาย หลายบท ให้ลงโทษ ฐาน ปล้นทรัพย์ ซึ่ง เป็น บทหนัก ตาม มาตรา 90 ให้ ประหารชีวิตจำเลย ทั้ง สี่ คำให้การ ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน ของ จำเลย ทั้ง สี่ เป็นประโยชน์ แก่ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สาม ตามมาตรา 78 ประกอบ มาตรา 52(1) คง จำคุก จำเลย ทั้ง สี่ ตลอด ชีวิตให้ คืน เครื่อง รับ โทรทัศน์ เครื่อง เล่น วีดีโอ และ วิทยุ เทป แก่ เจ้าของริบ รถยนต์กระบะ และ หัว กระสุนปืน ของกลาง ให้ จำเลย ทั้ง สี่ ร่วมกัน คืนหรือ ใช้ เงิน จำนวน 5,000 บาท แก่ เจ้าของ ข้อหา อื่น ให้ยก
จำเลย ทั้ง สี่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สี่ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว คดี มี ปัญหา จะ ต้อง วินิจฉัยตาม ฎีกา ของ จำเลย ทั้ง สี่ ว่า จำเลย ทั้ง สี่ เป็น คนร้าย หรือไม่โจทก์ มี นาง ชลธิดา แทนกุล ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า เมื่อ วันที่ 16ตุลาคม 2532 เวลา 19.30 นาฬิกา ขณะ พยาน นั่ง รับประทานอาหาร กับผู้ตาย และ บุตร อยู่ ที่ บ้าน และ ได้ เปิด โทรทัศน์ ดู มี เพื่อนบ้าน เข้า มานั่ง ดู ด้วย 1 คน คือ นาย จีบ กลับ ได้ยิน เสียง รถ แล่น เข้า มา ใน บริเวณ บ้าน พยาน คิดว่า มี บุคคล เข้า มา เติม น้ำมัน จึง ได้ ชะโงกหน้าต่าง ดู ขณะ นั้น มี ไฟ นีออน เปิด อยู่ หน้า บ้าน สามารถ มองเห็น ได้ชัดเจน ใน ระยะ ประมาณ 10 เมตร รถ ที่ แล่น เข้า มา เป็น รถ กระบะ ดัสสันสี เขียว มี คน นั่ง ประมาณ 8-9 คน เป็น ชาย ทั้งหมด ชาย กลุ่ม ดังกล่าวบอก พยาน ว่า จะ เติม น้ำมัน พยาน จึง ให้ ผู้ตาย ออก ไป เติม น้ำมัน ให้ส่วน พยาน ยัง อยู่ ภายใน บ้าน จาก นั้น มี คนร้าย ซึ่ง นั่ง รถ กระบะ มา นั้นจำนวน 2 คน เดิน เข้า มา ซื้อ บุหรี่ กับ พยาน ที่ ใน บ้าน พยาน จึง เดิน ไปหยิบ บุหรี่ ให้ แก่ ชาย 2 คน ดังกล่าว ขณะ นั้น ได้ยิน เสียง ปืน ดัง มาจากข้างนอก 1 นัด พยาน เห็น ผู้ตาย วิ่ง เข้า มา ใน บ้าน และ ล้ม ลง ใกล้ ๆโต๊ะ ขาย บุหรี่ นั่นเอง ส่วน ชาย 2 คน ที่ เข้า มา ซื้อ บุหรี่ จาก พยานก็ ได้ ล็อค คอ พยาน และ นำตัว พยาน ออก ไป ทาง หน้า บ้าน พร้อม กับ ใช้ ปืน จี้พยาน และ บอก ไม่ให้ ขัดขืน จาก นั้น ได้ยิน เสียง ปืน ดัง ขึ้น ภายใน บ้านอีก 2-3 นัด แล้ว พยาน เห็น กลุ่ม คนร้าย ช่วย กัน ขน เอา ทรัพย์สินของ พยาน ออกจาก บ้าน ไป ได้ แก่ โทรทัศน์ วีดีโอ เทป วิทยุ จาก นั้นคนร้าย ได้ เอา ไฟ สปอ ร์ทไลท์ฉาย ใส่ หน้า พยาน และ บอก ให้ นอน ลง แล้ว คนที่ ล็อค คอ พยาน ก็ ขึ้น รถ กระบะ รวมกับ คนร้าย อื่น หลบหนี ไป ภายหลัง จาก นั้นอีก 2-3 วัน พยาน ได้รับ แจ้ง จาก พนักงานสอบสวน ว่า จับกุม คนร้าย ได้ แล้ว5 คน และ ได้ มอบ ทรัพย์สิน ที่ ถูก ปล้น ไป คืน แก่ พยาน ด้วย เจ้าพนักงานตำรวจ จัด ให้ ดู ตัว ผู้ต้องหา ปรากฏ ตาม บันทึก การ ชี้ ตัว เอกสาร หมาย ป.จ. 3และ ภาพถ่าย หมาย ป.จ. 4 ตาม ภาพถ่าย หมาย ป.จ. 4 นั้น พยาน ได้ ชี้ ตัวจำเลย ที่ 1 เป็น คนร้าย ซึ่ง อยู่ รวม กลุ่ม เข้า มา ใน บ้าน และ ได้ ชี้ตัว จำเลย ที่ 2 เป็น คนร้าย ที่ ขับ รถ กระบะ หลบหนี ไป ตาม บันทึก การ ชี้ ตัวเอกสาร หมาย ป.จ. 5 และ ภาพถ่าย หมาย ป.จ. 6 และ ได้ ชี้ ตัว จำเลยที่ 4 เป็น คนร้าย ซึ่ง ยืน อยู่ หน้า บ้าน ใน ขณะ เกิดเหตุ ตาม บันทึก การชี้ ตัว เอกสาร หมาย ป.จ. 7 และ ภาพถ่าย หมาย ป.จ. 8 สำหรับ จำเลย ทั้ง สี่ใน คดี นี้ พยาน รู้ จัก กับ จำเลย ที่ 1 เพียง คนเดียว เพราะ เป็น ลูกเขยลุง กำ ซึ่ง เป็น เพื่อ บ้าน มี บ้าน อยู่ ใกล้ กัน ไม่เคย มี สาเหตุ โกรธเคือง กัน ส่วน จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 4 ไม่เคย รู้ จัก มา ก่อนโจทก์ ยัง มี เด็ก ชาย สมยศ แทนกุล บุตร ผู้ตาย กับ ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า วันที่ 16 ตุลาคม 2532 เวลา ค่ำ ขณะที่ พยาน รับประทานอาหาร ร่วม กับบิดา มารดา และ น้อง ขณะ นั้น ได้ มี นาย จีบ เข้า มา ดู โทรทัศน์ ภายใน บ้าน ด้วย พยาน ได้ยิน เสียง รถยนต์ แล่น เข้า มา บริเวณ หน้า บ้าน ตรง ที่ปั๊ม น้ำมัน ตั้ง อยู่ บิดา ลุก ไป เติม น้ำมัน ขณะ นั้น พยาน รับประทานอาหารเสร็จ แล้ว กำลัง เก็บ สัมภาระ อาหาร พยาน ได้ยิน เสียง ปืน ดัง 1 นัดบริเวณ ข้างนอก บ้าน สักครู่ บิดา พยาน วิ่ง เข้า มา ใน บ้าน และ ล้ม ลงพยาน ตกใจ วิ่ง เข้า ไป ใน ครัว ขณะ นั้น นาย จีบ ก็ ยัง อยู่ ใน ห้อง ที่ รับประทานอาหาร นั่นเอง มี ชาย มา ยืน ใกล้ ๆ นาย จีบ ชาย คน นั้น ได้ ใช้ ปืน จี้ ศีรษะ ของ นาย จีบ พยาน เห็น ชาย เข้า มา ใน บ้าน อีก หลาย คน แล้ว ขน เอา ทรัพย์ ใน บ้าน ไป ได้ แก่ โทรทัศน์ วีดีโอ วิทยุ เทป จาก นั้นพยาน ได้ยิน เสียง ปืน ดัง ขึ้น อีก 3 นัด ภายใน บ้าน เสียง ปืน ทั้ง สาม นัดนั้น ได้ ยิง บิดา ของ พยาน ภายหลัง จาก นั้น เจ้าพนักงาน ตำรวจ ได้ นำพยานไป ทำการ ชี้ ตัว ผู้ต้องหา ปรากฏ ตาม บันทึก การ ชี้ ตัว เอกสาร หมายป.จ. 10 และ ภาพถ่าย หมาย ป.จ. 11 ตาม ภาพถ่าย หมาย ป.จ. 11 นั้นพยาน ได้ ชี้ ตัว จำเลย ที่ 3 เป็น คนร้าย ที่ ใช้ อาวุธปืน จี้ ศีรษะ นาย จีบ นอกจาก นี้ โจทก์ ยัง มี นาย จีบ กลับ เบิกความ ว่า ใน วันเกิดเหตุ เมื่อ โทรทัศน์ เริ่ม มี ข่าว พยาน ได้ยิน เสียง รถยนต์ มา จอด ช่วง นั้น ปิด ประตู บ้านแล้ว ผู้ตาย เปิด ประตู ออก ไป ดู และ บอก ว่า คน มา เติม น้ำมัน รถผู้ตาย ออก ไป หน้า บ้าน พยาน ยัง อยู่ ใน บ้าน กับ ภรรยา ผู้ตาย ประมาณ5 นาที เสียง ปืน ดัง ขึ้น 1 นัด ผู้ตาย วิ่ง เข้า มา นอน คว่ำ ที่ ประตูเข้า ครัว มี คนร้าย เข้า มา ใน บ้าน หลาย คน คนหนึ่ง ล็อค คอ พยาน เอา ปืนขู่ บังคับ ว่า อย่า วิ่ง และ ส่ง เสียงดัง พา ไป นอน ฟุบ ที่ หน้าต่างพยาน เห็น หน้า คนร้าย คน นี้ ขณะ ถูก บังคับ พา ไป ที่ หน้าต่าง คือ จำเลย ที่ 3ก่อน คนร้าย เข้า มา บังคับ พยาน นั้น มี เสียง ปืน ดัง ขึ้น อีก 2-3 นัดคนร้าย มี ทั้งหมด กี่ คน ไม่ทราบ เพราะ พยาน นอน ฟุบ อยู่ หลังจาก เกิดเหตุ4-5 วัน เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ คนร้าย ได้ แล้ว 5 คน เรียก พยาน ไป ให้การที่ สถานีตำรวจ พยาน ชี้ ตัว จำเลย ที่ 3 ได้ ถูกต้อง และ ลงชื่อ ใน บันทึกการ ชี้ ตัว ไว้ ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 และ ถ่าย ภาพ ขณะ พยาน ชี้ ตัว ไว้ ตามภาพถ่าย หมาย จ. 2 เห็นว่า ประจักษ์พยาน ทั้ง สาม ของ โจทก์ เบิกความได้ สอดคล้อง ต้อง กัน และ รับ กัน เป็น อย่างดี ไม่มี ตอนใด ขัด ต่อ เหตุผลหรือ ขัด กันเอง โดยเฉพาะ การ รู้เห็น ของ พยาน ทั้ง สาม มิได้ เห็น เหตุการณ์ตลอด หมด ทุกคน แต่ เห็น เหตุการณ์ คน ละ ตอน กัน เหตุการณ์ ตอนใด ที่พยาน คนใด ไม่รู้ เห็น ก็ ไม่ เบิกความ ถึง คำเบิกความ จึง น่าเชื่อ ถือพฤติการณ์ ที่ จำเลย ทั้ง สี่ กับพวก มา ด้วยกัน และ หลบหนี ไป ด้วยกันแม้ จำเลย ทุกคน จะ ไม่ได้ ลงมือ ยิง และ พวก ของ จำเลย คนอื่น เอาทรัพย์สิน ของ ผู้ตาย กับ ผู้เสียหาย ไป แต่ ก็ มี จำเลย ที่ 1 รวม อยู่ ในกลุ่ม คนร้าย ที่ เข้า มา ใน บ้าน จำเลย ที่ 2 เป็น ผู้ขับ รถ พา คนร้ายมา และ พา คนร้าย หลบหนี จำเลย ที่ 3 ใช้ ปืน จี้ บังคับ นาย จีบ ไว้ และ จำเลย ที่ 4 รวม อยู่ ใน กลุ่ม คนร้าย ที่ หน้า บ้าน ขณะ เกิดเหตุ เป็น การคุม เชิง อยู่ ใกล้ ๆ ใน ลักษณะ ที่ พร้อม ช่วยเหลือ กัน ได้ ทันที เป็นลักษณะ การ แบ่ง หน้าที่ กัน ทำ อัน ถือได้ว่า ร่วม กระทำผิด ด้วยกันหลัง เกิดเหตุ แล้ว จำเลย ทั้ง สี่ กับพวก ต่าง ก็ หลบหนี เมื่อ จับ จำเลยที่ 1 ได้ จำเลย ที่ 1 ก็ ให้การรับสารภาพ และ ยัง พา เจ้าพนักงานไป เอา ทรัพย์สิน ของกลาง ที่ ซุกซ่อน ไว้ มา คืน ด้วย ตาม เอกสาร หมาย จ. 3เมื่อ มี ผู้นำ จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 4 เข้า มอบตัว จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 4ก็ รับสารภาพ ชั้นสอบสวน จำเลย ทั้ง สี่ ก็ ยัง คง รับสารภาพ โดย มีรายละเอียด เจือสม พยานโจทก์ ตาม เอกสาร หมาย จ. 10 ถึง จ. 13ทั้ง ยัง นำ ชี้ ที่เกิดเหตุ ประกอบ คำรับสารภาพ ให้ เจ้าพนักงาน ถ่าย ภาพไว้ เป็น หลักฐาน ด้วย ตาม เอกสาร หมาย จ. 15 และ ภาพถ่าย หมาย จ. 16คำรับสารภาพ ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน ของ จำเลย ทั้ง สี่ ต่อ พันตำรวจโท อุดม ระวิววงศ์ และ พัน ตำรวจ ตรี สมพงษ์ ฐานะกาญจน์ ซึ่ง ไม่เคย รู้ จัก กับ จำเลย ทั้ง สี่ มา ก่อน ทั้ง เป็น นายตำรวจ ชั้น ผู้ใหญ่ ไม่มี เหตุระแวง สงสัย ว่า จะ ปรักปรำ ใส่ ร้าย น่าเชื่อ ว่า จำเลย ทั้ง สี่ ให้การรับสารภาพ ชั้น จับกุม และ สอบสวน ไป ตาม ความจริง โดย สมัครใจ เมื่อ ฟัง คำให้การ ชั้นสอบสวน ประกอบ กับ คำเบิกความ ของ ประจักษ์พยาน โจทก์ แล้วจึง เชื่อ โดย ปราศจาก สงสัย ว่า จำเลย ทั้ง สี่ ได้ ร่วม เป็น คนร้าย ราย นี้พยานหลักฐาน ที่อยู่ ของ จำเลย ทั้ง สี่ ไม่อาจ หักล้าง พยานโจทก์ ได้ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา มา ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ฎีกา ของ จำเลยทั้ง สี่ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน