คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นเทศบาลได้รับสัมปทานจากรัฐบาลให้ตั้งโรงไฟฟ้ามีหน้าที่จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลผู้ร้องขอใช้ไฟฟ้าภายในเขตตฺ์สัมปทาน โจทก์เป็นราษฎรฟ้องหาว่าจำเลยทำผิดข้อสัญญากับโจทก์ในการจำหน่ายกระแสร์ไฟ มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตาม ข้อกำหนดในสัมปทานประกอบกับบทบัญญัติมาตรา 374 ป.ม. แพ่งฯ ฉะนั้นปัญหาที่ว่าโจทก์จะได้สิทธิตามสัมปทานโดยอาศัย ป.ม. แพ่งฯ มาตรา 374 นี้หรือไม่ จึงไม่เกิดขึ้น
สัญญาซื้อกระแสไฟฟ้าไม่ปรากฎว่ามีกำหนดระยะเวลา อาจมีการเลิกกันเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระค่ากระแสร์ไฟ ผู้ขายก็ตัดสายไฟ ดังนี้ ผู้ซื้อจะมาฟ้องขอให้บังคับผู้ขายให้ต่อสายไฟและจ่ายกระแสร์ไฟให้ต่อไปสภาพย่อมไม่เปิดช่องให้บังคับได้ตามขอ
เมื่อเทศบาลซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ ผิดสัญญาจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่ฟ้องโจทก์ไม่เรียกค่าเสียหายจากเทศบาลซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 เป็นแต่เรียกจากจำเลยอื่น ๆ ซึ่งเป็นคนงานและตัวแทนของจำเลยที่ 1 ๆ จึงไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ดังนี้ ก็ไม่มีทางให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้
เทศบาลทำน้ำประปาโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขของสาธารณะชนแล้ว การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับห้ามมิให้เทศบาลเรียกเก็บค่าน้ำประปานั้น ศาลจะบังคับให้ไม่ได้ เพราะเป็นการรับรองให้โจทก์ได้รับผลจากการกระทำอันไม่ถูกต้องกับกฎหมาย./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับสัมปทานตั้งโรงทำการไฟฟ้า และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนในเขตสัมปทาน โจทก์ได้ทำสัญญารับซื้อกระแสไฟฟ้ากับน้ำประปาจากจำเลยที่ ๑ สำหรับน้ำประปาจำเลยที่๑ คิดเอาราคาท่อน้ำประปาหรือคิดค่าเช่าท่อน้ำประปาไม่คิดเอาจนกว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับสัมปทานการประปาโดยถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ซึ่งเป็นคณะเทศมนตรีได้เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม ๒๔๘๙ จากโจทก์ในอัตราหน่วยละ ๒ บาทต่อเดือน อันเกินไปจากข้อสัญยาและสัมปทาน ซึ่งเคยเป็นหน่วยละ ๓๐ สตางค์ต่อเดือน และเรียกเก็บค่าน้ำประปาในเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๙ ถึง ๓ บาท โจทก์โต้แย้งและไม่ยอมชำระส่วนที่เกิน จำเลยที่ ๒,๓,๔ ได้ใช้ให้จำเลยที่ ๕ ตัดสายไฟ แล้วงดจ่ายกระแสไฟฟ้าทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยต่อสายไฟฟ้าและจ่ายกระไฟฟ้าให้แก่โจทก์ และเรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าหน่วยละ ๓๐ สตางค์ต่อเดือน ห้ามจำเลยไม่ให้เรียกเก็บเงินค่าน้ำประปาจากโจทก์ในระยะเวลาที่จำเลยยังมิได้รับสัมปทาน กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วย.
จำเลยทั้งหมดให้การว่า ได้กระทำกิจการเทศบาลทุกอย่างไปโดยชอบ โจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระหนี้ตามข้อผูกพันซึ่งมีต่อเทศบาล น้ำประปามีข้อสัญญาเพียงให้ใช้ มิใช่ให้รับประทาน โจทก์บิดพลิ้วไม่ชำระหนี้เอง จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ และข้อผูกพัน โจทก์จะเรียกค่าเสียหายไม่ได้ และจะอ้างสัมปทานไม่ได้ เพราะเทศบาลมีข้อผูกพันกับกระทรวงมหาดไทยโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวถึงโจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า กระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้ขึ้นราคาค่ากระแสไฟฟ้า เพียงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๘๙ พ้นวันนั้นจำเลยที่ ๒ มิได้ข้อร้องอีก จนวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๘๙ จึงได้มีหนังสือขอเพิ่มอัตราที่เคยอนุมัติ กระทรวงมหาดไทยโทรเลขตอบในวันที่ ๑ ตุบาคม ๒๔๘๙ ให้ขึ้นราคาได้ตามขอ และให้ย้อนเก็บในเดือนมิถุนายน ถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๔๘๙ การที่ให้ย้อนเก็บในเดือนมิถุนายน ถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๔๘๙ การที่ให้ย้อนไปเก็บได้ตามราคาที่เพิ่มไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนและผู้ใช้ จึงเรียกเก็บไม่ได้ ส่วนค่าน้ำประปา จำเลยที่ ๑ จะต้องได้รับสัมปทานตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยฯลฯ การที่จำเลยเรียกเก็บค่าน้ำ จึงมิชอบพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัมปทาน จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลผู้ร้องขอให้ไฟฟ้าในเขตสัมปทาน แต่โจทก์มิได้ฟ้องอาศัยสิทธิตามข้อกำหนดในสัมปทานนี้ ประกอบกับ ป.ม. แพ่ง ฯ มาตรา ๓๗๔ ปัญหาที่ว่าโจทก์จะมีสิทธิตามมาตรา ๓๗๔ นี้หรือไม่ จึงไม่เกิดขึ้นโจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ ๑ เรียกเก็บอัตราค่ากระแสไฟฟ้าเกินกว่าที่กำหนดไว้ในสัมปทาน เมื่อโจทก์ไม่ชำระจำเลยก็ตัดสายไฟจึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยต่อสายไฟ และจ่ายกระแสไฟให้โจทก์ต่อไป สัญญาซื้อกระแสไฟฟ้านี้ โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๑ ไม่ปรากฏว่ามีระยะเวลาอาจจะมีการเลิกกันเมื่อใดก็ได้ สภาพจึงไม่เปิดช่องทางให้บังคับจำเลยตามที่โจทก์ขอได้ในข้อให้เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าหน่วยละ ๓๐ สตางค์ จึงบังคับให้ไม่ได้ เพราะตามสัมปทานจำเลยที่ ๑ ยังอาจขึ้นค่ากระแสไฟได้ เมื่อได้รับอนุญาต
การที่จำเลยตัดสายไฟและงดจ่ายกระแสไฟนั้น เป็นการกระทำต่อทรัพย์สินที่เป็นของจำเลยเองส่วนที่เป็นผลให้โจทก์ไม่ได้ใช้ไไฟ้า หากจะเป็นมูลให้ฟ้อง ก็แต่ในเรื่องผิดสัญญา หาใช่ละเมิดไม่ แต่ตามคำพรรณนาฟ้องของโจทก์ โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญานี้จากจำเลยที่ ๑ เป็นแต่เรียกจากจำเลยอื่น ๆ ซึ่งเป็นคนงานและตัวแทนของจำเลยที่ ๑ จำเลยต่างหากที่เป็นคู่สัญญากับโจทก์ และจำต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ในกรณีผิดสัญญา เมื่อโจทก์ที่ ๑ ไม่ได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีทางให้ค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีทางให้ค่าเสียหายแก่โจทก์
เรื่องน้ำประปานั้น พ.ร.บ. ควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขของสาธารณะชน พ.ศ.๒๔๗๑ และที่แก้ไขโดยฉะบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๕ ห้ามไม่ให้บุคคลใดประกอบการ นอกจากได้รับอนุญาตจากรัฐบาล หรือได้รับสัมปทานแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับสัมปทาน การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับให้ห้ามจำเลยมิให้เลยเก็บค่าน้ำประปานั้น ศาลจะบังคับให้ไม่ได้ เพราะเป็นการับรองให้โจทก์ได้รับผลจากการกระทำอันไม่ถูกต้องกับกฎหมาย
พิพากษายืน.

Share