คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4686/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับครอบครัวจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันอย่างรุนแรง ต่อมาผู้ตายได้มาโต้เถียงกับจำเลยเป็นเวลานาน จำเลยย่อมจะมีความโกรธเคืองผู้ตายเป็นอย่างมากถึงกับมีการท้าทายให้ไปตกลงกันที่ฟากคลองฝั่งตรงกันข้าม และจำเลยได้ถือมีดปลายแหลมขนาดใหญ่ออกเดินนำหน้าไปก่อนอันถือได้ว่าจำเลยได้สมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับผู้ตาย เป็นการเข้าสู้ภัยโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ แม้ผู้ตายถือจอบขนาดใหญ่เดินตามจำเลยและได้ทำร้ายจำเลยก่อนก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ตายสมัครใจวิวาทกัน ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจที่จะอ้างสิทธิป้องกันได้ตามกฎหมาย และเมื่อจำเลยสมัครใจที่จะไปต่อสู้กับผู้ตายเอง จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้เช่นเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2541 เวลากลางวันจำเลยได้พาอาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 24 นิ้ว ความกว้างของตัวมีดประมาณ 3 นิ้ว ติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร และจำเลยได้ใช้มีดดังกล่าวเป็นอาวุธฟันนายสุนทร ชิวภักดี โดยเจตนาฆ่าที่บริเวณลำคอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญหลายครั้งเป็นเหตุให้เส้นเลือดแดงดำและกล้ามเนื้อบริเวณลำคอของนายสุนทรขาด ทำให้สมองขาดเลือดและถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 288, 371

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 72, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น โดยบันดาลโทสะ จำคุก 4 ปี ฐานพกอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 จำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้บทกฎหมายที่ลงโทษโดยไม่ได้แก้โทษเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่าไม่ได้ประสงค์ให้ผู้ตายถึงแก่ความตายหรืออีกนัยหนึ่งคือไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตายและขอให้ศาลฎีกาลงโทษสถานเบากับรอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้ว จากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่าบ้านพักของนางบุญศรีทองกรรณ แม่ยายของจำเลยกับบ้านพักของนายสุนทร ชิวภักดี ผู้ตายอยู่ติดกันมีเพียงรั้วกั้นอยู่เท่านั้น และผู้ตายกับนางบุญศรีมีเรื่องไม่ถูกกันโดยมักจะมีเรื่องทะเลาะดุด่ากันอยู่เนือง ๆ ในวันเกิดเหตุตั้งแต่เวลา 8 นาฬิกา นายบุญศรีกับจำเลยพร้อมญาติของจำเลยพากันไปซ่อมรั้วบ้านที่กันบริเวณบ้านของนางบุญศรีกับบ้านผู้ตายโดยนำแผ่นสังกะสีมาตีปะเข้ากับรั้วไม้เดิม ผู้ตายกลับมาจากภายนอกบ้านมาพบก็เกิดความไม่พอใจ ผู้ตายมีอาการมึนเมาสุรามาด้วยจึงได้เข้าไปต่อว่าและดุด่านางบุญศรี นอกจากนี้ผู้ตายยังได้ใช้มือเขย่ารั้วสังกะสีอย่างแรงจนรั้วจะพัง แม้นางบุญศรีจะได้ว่ากล่าวห้ามปราม แต่ผู้ตายก็ไม่ยอมเชื่อฟังจนนางบุญศรีขู่ว่าจะไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานตำรวจ ครั้นนางบุญศรีออกไปข้างนอกผู้ตายกลับมีปากเสียงโต้เถียงกับจำเลยแทน จำเลยกับผู้ตายโต้เถียงกันเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เกิดการท้าทายกันขึ้นโดยให้ไปตกลงกันที่ฟากคลองแสนแสบฝั่งตรงกันข้ามด้านหน้าวัดพิชัยซึ่งต้องเดินข้ามสะพานไป จำเลยเดินถือมีดปลายแหลมขนาดใหญ่นำหน้าไป ส่วนผู้ตายถือจอบสำหรับดายหญ้าด้ามยาวประมาณ1.5 เมตร เดินตามไปห่างจำเลยประมาณ 1 เมตร ขณะคนทั้งสองเดินลงสะพานผู้ตายอยู่ในระดับที่สูงกว่าจำเลย ผู้ตายได้พูดขึ้นว่า “กูเอามึงก่อนนะ” พร้อมกับยกจอบขึ้นฟันจำเลยถูกที่ศรีษะบริเวณกกหูด้านซ้าย จำเลยซึ่งได้ยินคำพูดของผู้ตายได้ใช้มีดปลายแหลมที่ถืออยู่ฟันสวนไปทันทีถูกที่บริเวณลำคอของผู้ตาย คมมีดตัดเส้นเลือดดำและแดงที่ลำคอผู้ตายล้มลงและถึงแก่ความตายในอีก 2 วันต่อมา เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับครอบครัวจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันอย่างรุนแรง ต่อมาผู้ตายก็ได้มาโต้เถียงกับจำเลยโดยตรงเป็นเวลานาน ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจว่าจำเลยย่อมมีความโกรธเคืองผู้ตายเป็นอย่างมากถึงกับมีการท้าทายให้ไปตกลงกันที่ฟากคลองฝั่งตรงกันข้าม และจำเลยได้ถือมีดปลายแหลมขนาดใหญ่ออกเดินนำหน้าไปก่อนอันถือได้ว่า จำเลยได้สมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับผู้ตายเป็นการที่จำเลยเข้าสู้ภัยโดยที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ แม้ผู้ตายถือจอบขนาดใหญ่เดินตามจำเลยและได้ทำร้ายจำเลยก่อนก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่จำเลยกับผู้ตายสมัครใจวิวาทกัน ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจที่จะอ้างสิทธิป้องกันได้ตามกฎหมาย และเมื่อจำเลยสมัครใจที่จะไปต่อสู้กับผู้ตายเอง จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้เช่นเดียวกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share