คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์อายุเกินกว่า 80 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพทำนามา 10กว่าปีแล้ว อยู่กับ อ. บุตรโจทก์ซึ่งเป็นคนทำนาและค้าขายข้าวมีการปลูกบ้านใหม่อีกหลังติดกันเป็นแฝดจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าอ. ลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาเป็นคนปลูกบ้านหลังใหม่ การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านพิพาทของโจทก์ เป็นการใช้สิทธิในการบังคับคดีตามกฎหมายโดยสุจริต หาได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือกระทำโดยความประมาทเลินเล่อเพื่อให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดไม่การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า นายอุทิศรวยสำราญ บุตรชายโจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 307/2522 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว จำเลยจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดบ้านเลขที่ 19 ตามฟ้อง ซึ่งโจทก์และนายอุทิศอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีแล้วโจทก์ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า บ้านดังกล่าวเป็นของโจทก์ หาใช่ของนายอุทิศไม่ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนการยึดบ้านดังกล่าวแล้วนำยึดที่ดินอีกแปลงหนึ่งแทน คดีมีปัญหาว่า จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านพิพาทโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีอายุเกินกว่า 80 ปี ชรามากแล้วและไม่ได้ประกอบอาชีพทำนามา 10 กว่าปีแล้ว นายอุทิศบุตรโจทก์เป็นคนทำนาและค้าขายข้าวดังปรากฏตามคำเบิกความของนายเสงี่ยม ชะเอมทอง นายกลิ่น รวยสำราญและนายสมบูรณ์ คงเจริญ พยานโจทก์ ผู้ที่พบเห็นย่อมเข้าใจว่า โจทก์อาศัยอยู่กับนายอุทิศและนายอุทิศเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏตามคำเบิกความของนายเสงี่ยม ชะเอมทอง ว่า เดิมบ้านโจทก์มีหลังเดียวหลังคามุงจาก เมื่อ 4-5 ปีก่อนพยานเบิกความได้ปลูกบ้านอีกหลังติดกันเป็นแฝด หลังคามุงสังกะสี เป็นการเจือสมพยานจำเลยที่นำสืบว่าบ้านหลังคามุงสังกะสีเพิ่งปลูกขึ้นใหม่ ปลูกมา 7-8 ปี แสดงว่าบ้านหลังใหม่นี้ปลูกขึ้นในระหว่างที่โจทก์ชราภาพมากแล้วไม่ได้ประกอบอาชีพอย่างใดและอาศัยอยู่กับนายอุทิศบุตรชาย ที่จำเลยเบิกความว่านายอุทิศเป็นคนปลูกบ้านหลังใหม่ จึงน่าเชื่อว่าเป็นความเข้าใจโดยสุจริตของจำเลย

ยิ่งกว่านั้น ในวันที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์บ้านพิพาท นางศรีสกุล พลพิภพ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็เบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่า ก่อนทำการยึดได้สอบถามนางสอิ้งภริยานายอุทิศและนางเหมือนภริยาโจทก์แล้วว่า บ้านพิพาทเป็นของนายอุทิศใช่ไหมนางเหมือนไม่ตอบอะไร นางสอิ้งพูดแต่เพียงว่าเป็นหนี้เท่าไร เห็นได้ว่าทั้งนางสอิ้งและนางเหมือนมิได้ปฏิเสธว่า บ้านพิพาทไม่ใช่ของนายอุทิศแต่อย่างใด เมื่อประกอบกับพฤติการณ์ที่ปรากฏเป็นทำนองว่า โจทก์เพียงอาศัยอยู่กับนายอุทิศบุตรชายแล้ว ย่อมทำให้จำเลยเชื่อมั่นว่า บ้านพิพาทที่นำยึดเป็นของนายอุทิศจริง แต่ครั้นเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ของนายอุทิศ จำเลยก็ยอมถอนการยึดให้แต่โดยดี ตามพฤติการณ์ดังกล่าว แสดงว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านพิพาทของโจทก์ เป็นการใช้สิทธิในการบังคับคดีตามกฎหมายโดยสุจริต หาได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือกระทำโดยความประมาทเลินเล่อเพื่อให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลย 600 บาท

Share