คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างตึกแถวในที่ดินของ บ.เมื่อสร้างเสร็จตึกแถวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ บ.จำเลยมีสิทธิเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่า โจทก์ทำสัญญาตกลงจะเช่าตึกแถวกับจำเลย ต้องช่วยค่าก่อสร้าง 105,000 บาท โจทก์ชำระให้จำเลยแล้ว 100,000 บาท ยังค้างอยู่ 5,000 บาท เมื่อโจทก์เข้าอยู่ได้ราว 2 ปีแล้ว จำเลยได้นำโจทก์ไปพบกับตัวแทนของ บ.เพื่อทำสัญญาเช่า แต่ไม่เป็นที่ตกลงกัน โจทก์จึงไม่ได้ทำสัญญาเช่า เป็นเรื่องของโจทก์ที่ไม่ยอมทำสัญญาเช่าเอง โจทก์มิได้ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างอีก 5,000 บาทให้จำเลยตามข้อสัญญาโดยไม่มีเหตุที่จะอ้าง ถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญากับจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยจัดการให้โจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดินหรือเรียกเงินที่ชำระแล้วคืน กับให้ใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยก็มีสิทธิเพียงเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่าเท่านั้น ไม่มีสิทธิในตึกแถวแต่อย่างใดสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินช่วยค่าก่อสร้างกับเรื่องจำเลยจะ นำโจทก์ไปทำสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดินในเมื่อชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างครบแล้ว มิได้ให้สิทธิแก่จำเลยในตึกแถวเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิขับไล่โจทก์ออกจากตึกแถวและเรียกค่าเสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะเช่าตึกแถวสามชั้นคูหาที่ ๖ ภายหลังมีเลขบ้านที่ ๕๗๗ กับจำเลยตามที่จำเลยอ้างและโฆษณาว่าเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างตึกแถวในที่ดินของนายบุญชิต เกตุรายนาค โดยจำเลยเป็นผู้มีสิทธิให้เช่า มีข้อสัญญากันว่า โจทก์จะต้องช่วยเงินค่าก่อสร้าง ๑๐๕,๐๐๐ บาท โจทก์ชำระเงินตามสัญญาให้จำเลยแล้ว ๑๐๐,๐๐๐ บาท ยังค้างอีก ๕,๐๐๐ บาท โจทก์นำเงิน ๕,๐๐๐ บาทไปชำระให้จำเลยพร้อมกับขอให้จำเลยพาไปทำสัญญาเช่าตึกแถวกับเจ้าของที่ดิน จำเลยไม่ยอมรับเงินและขอผัด เพราะยังตกลงกับเจ้าของที่ดินไม่ได้ ต่อมาจำเลยสร้างตึกแถวและติดตั้งไฟฟ้าและต่อประปาตามสัญญาแล้วก็แจ้งให้โจทก์เข้าอยู่ในตึกแถว โจทก์ได้เข้าไปตบแต่งปรับปรุงตึกแถวที่เช่าเพื่อดำเนินการค้า โดยจัดเป็นร้านตัดผมเสียค่าใช้จ่ายไป ๓๓๔,๐๐๐ บาท โจทก์ได้รับคำบอกกล่าวจากนายบุญชิตว่าไม่ได้มอบให้จำเลยก่อสร้าง โจทก์นำเงินที่ค้างชำระ ๕,๐๐๐ บาท ไปชำระให้จำเลยขอให้พาโจทก์ไปทำสัญญาเช่าตึกแถวกับเจ้าของที่ดิน จำเลยพาโจทก์ไปพบนายฟุ้งตัวแทนเจ้าของที่ดิน แต่จำเลยกับตัวแทนเจ้าของที่ดินไม่ยอมให้โจทก์เช่าตึกแถวมีกำหนด ๑๐ ปีตามสัญญา โดยจะให้เช่าเพียง ๘ ปีเท่านั้น โจทก์จึงไม่ยินยอมและยึดหน่วงการชำระเงิน ๕,๐๐๐ บาทไว้ ระหว่างที่ตกลงระยะเวลาเช่ากันไม่ได้จำเลยตัดท่อประปาไม่ให้โจทก์ใช้น้ำขอให้บังคับจำเลยจัดการให้โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวสามชั้นคูหาที่ ๖ เลขที่ ๕๗๗ กับนายบุญชิตเจ้าของที่ดินมีกำหนดเวลา ๑๐ ปีนับแต่วันทำสัญญาเช่าโดยคิดค่าเช่าเดือนละ ๑๐๐ บาท และให้จำเลยรับเงินที่ค้างชำระ ๕,๐๐๐ บาทจากโจทก์หากไม่สามารถจัดการได้ก็ขอให้จำเลยคืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่โจทก์เสียไปในการตบแต่งปรับปรุงสถานที่เช่า ๓๓๔,๐๐๐ บาทแก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยตัดท่อประปาตึกแถวดังกล่าวซึ่งโจทก์กำลังประกอบการตัดผม เดือนละ ๖๑๕ บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยโฆษณาว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าตึกแถว โจทก์ไม่เคยนำเงิน ๕,๐๐๐ บาทไปเพื่อชำระให้แก่จำเลย ในที่สุดเจ้าของที่ดินยอมทำสัญญาให้เช่า ๑๐ ปี โดยให้โจทก์ชำระค่าเช่าค่าภาษีสำหรับเวลาที่ผ่านมา โจทก์ก็ไม่ยอมชำระเจ้าของที่ดินจึงไม่ยอมทำสัญญาเช่าให้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทคืน เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ฯลฯ เมื่อโจทก์ผิดสัญญาในเรื่องการใช้น้ำ จำเลยจึงได้บอกเลิกสัญญาการขายน้ำให้แก่โจทก์ แล้วได้ตัดท่อน้ำเสีย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ขับไล่โจทก์กับบริวารออกไปจากตึกพิพาทเลขที่ ๕๗๗ และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยวันละ ๓๐ บาท นับแต่วันฟ้องแย้ง ฯลฯ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ได้นำเงิน ๕,๐๐๐ บาทไปเพื่อชำระให้จำเลยพร้อมกับขอให้จำเลยพาโจทก์ไปทำสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดินหลายครั้ง จำเลยไม่ยอมรับเงินและขอผัดตลอดมา จำเลยกับตัวแทนเจ้าของที่ดินไม่ยอมทำสัญญาเช่าให้โจทก์มีกำหนด ๑๐ ปี ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย จะให้ทำสัญญาเช่าเพียง ๘ ปี ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และบริวารออกไปจากห้องที่พิพาท ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ ๑๐๐ บาทนับแต่วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ที่จำเลยฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากห้องที่พิพาท ให้จำเลยใช้เงินค้าเสียหายแก่โจทก์ที่ตัดท่อน้ำบาดาลโดยไม่มีเหตุอันสมควรเป็นเงิน ๒๒๕ บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่ตัดท่อน้ำบาดาลแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๒๕ บาท ให้ยกคำขออื่นของโจทก์ตามฟ้องนอกจากนี้และให้ยกฟ้องแย้ง
โจทก์และจำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างตึกแถวในที่ดินของนายบุญชิต ซึ่งรวมตึกแถวพิพาทด้วย เมื่อสร้างตึกแถวเสร็จตึกแถวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายบุญชิตเจ้าของที่ดินทันที จำเลยมีสิทธิเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่า โจทก์ทำสัญญาตกลงจะเช่าตึกแถวฉบับลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๐๘ กับจำเลยจริง โจทก์ชำระเงินค่าช่วยก่อสร้าง ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้จำเลยตามสัญญาแล้ว เงินที่เหลืออีก ๕,๐๐๐ บาทโจทก์ยังมิได้ชำระให้จำเลยตามสัญญา จำเลยนำโจทก์ไปพบนายฟุ้ง วรรธนะสาร ตัวแทนของนายบุญชิตเจ้าของที่ดินเพื่อทำสัญญาเช่า แต่ไม่เป็นที่ตกลงกัน โจทก์จึงไม่ได้ทำสัญญาเช่ากับนายบุญชิตเจ้าของที่ดิน โจทก์เข้าอยู่ในตึกแถวพิพาทก่อนเดือนเมษายน ๒๕๑๑ ประมาณ ๒ ปีเศษแล้ว และจำเลยตัดท่อน้ำที่ตึกแถวพิพาทจริง จำเลยนำโจทก์ไปพบกับนายฟุ้งตัวแทนของนายบุญชิตเจ้าของที่ดินเพื่อทำสัญญาเช่า แต่ไม่เป็นที่ตกลงกัน เพราะนายฟุ้งยอมทำสัญญาเช่า ๑๐ ปี เสียค่าเช่าเดือนละ ๑๐๐ บาท แต่ให้โจทก์ชำระค่าเช่ากับค่าภาษีโรงเรือนย้อนหลัง ๒ ปี เนื่องจากโจทก์อยู่ในตึกแถวพิพาทมา ๒ ปีแล้ว แสดงว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามข้อสัญญานั้น ผู้เช่ารายอื่นยอมรับเงื่อนไขของเจ้าของที่ดินและได้ทำสัญญาเช่ากัน การที่โจทก์ไม่ยอมทำสัญญาเช่าเพราะเหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล และเป็นเรื่องของโจทก์ไม่ยอมทำสัญญาเช่าเอง จะถือว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ได้ยิ่งกว่านั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มิได้ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างงวดสุดท้ายจำนวน ๕,๐๐๐ บาทให้จำเลยตามข้อสัญญา โดยไม่มีเหตุที่จะอ้างอย่างใด คดีฟังได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาที่โจทก์ตกลงจะเช่าตึกแถว ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับ ให้จำเลยจัดการให้โจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดินหรือเรียกเงินคืน กับให้ใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยตัดท่อน้ำจริง เมื่อพิเคราะห์ในข้อที่ว่าโจทก์ไม่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างงวดสุดท้ายจำนวน ๕,๐๐๐ บาทให้จำเลยทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้เข้าอยู่ในตึกแถวพิพาทประกอบการค้าร้านตัดผมแล้ว การที่จำเลยตัดท่อน้ำน่าเชื่อว่าเป็นเพราะเหตุดังกล่าวเป็นเรื่องจำเลยตัดท่อน้ำโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างตึกแถวพิพาทในที่ดินของนายบุญชิตเจ้าของที่ดิน เมื่อสร้างเสร็จตึกแถวพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายบุญชิตเจ้าของที่ดินทันที ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีสิทธิเพียงเก็บเงินค่าช่วยก่อสร้างจากผู้เช่าเท่านั้น ดังนี้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิในตึกแถวพิพาทอย่างใด ตามสัญญาที่โจทก์ตกลงจะเช่าตึกแถวก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินช่วยค่าก่อสร้างและเรื่องจำเลยจะนำโจทก์ไปทำสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดิน เมื่อชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างครบแล้ว มิได้ให้สิทธิแก่จำเลยในตึกแถวพิพาทเลย ฉะนั้นจำเลยไม่มีสิทธิขับไล่โจทก์ออกจากตึกแถวพิพาท และไม่มีสิทธิให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง
พิพากษายืน

Share