คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การคบคิดกันฉ้อฉลหรือความไม่สุจริตอันจะทำให้ผู้สั่งจ่ายยกความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นต่อสู้ผู้ทรงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 นั้น จะต้องเกิดขึ้นขณะที่ผู้ทรงรับโอนเช็ค

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คและดอกเบี้ยจำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์รับโอนเช็คมาโดยคบคิดกันฉ้อฉลศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 139,600 บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายให้จำเลยที่ 2 เป็นค่าซื้อหินและทรายจากจำเลยที่ 2 ฉบับแรกตามเอกสารหมายจ.1 ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2525 จำนวนเงิน 69,000 บาท และฉบับหลังตามเอกสารหมาย จ.2 ลงวันที่ 15 มกราคม 2526 จำนวนเงิน 70,600 บาทต่างเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้า ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้สลักหลังเช็คทั้งสองฉบับนำไปแลกเงินสดจากโจทก์ ครั้นเมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาราชบุรีเพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2525และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526 ตามลำดับ ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 1มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินโดยอ้างว่า ลายมือชื่อผู้รับของในบิลที่ลูกจ้างจำเลยที่ 1 รับไว้มีการทุจริต มีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เพียงประการเดียวว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับโดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือโดยไม่สุจริตหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกาว่า จำเลยที่ 1 นำสืบฟังได้ว่าเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2525 โจทก์ นายฮั้งเจียง แซ่จึงกับสามีจำเลยที่ 2 ได้ไปพบจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงได้นำบิลที่ปลอมกับที่ไม่ปลอมให้โจทก์ดู โจทก์จึงพูดว่าอย่างนี้ก็โกงกันซิ จึงให้สามีจำเลยที่ 2 เขียนเช็คใหม่ให้โจทก์เอาเช็คเดิมคืนไป จึงฟังได้ว่าโจทก์รู้ว่าเช็คทั้งสองฉบับไม่มีมูลหนี้ โจทก์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริตสมรู้กับจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่าในข้อนี้จำเลยที่ 1 มีตัวจำเลยที่ 1 กับนายฮั้งเจียง แซ่จึงเบิกความสอดคล้องต้องกันสมเหตุผลปราศจากพิรุธใด ๆ ส่วนโจทก์ไม่ได้นำสืบปฏิเสธอย่างใด คงเพียงแต่เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ว่าสามีจำเลยที่ 2 ไม่เคยพาโจทก์ไปพบนายฮั้งเจียง คดีจึงฟังได้ว่า เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2525 นายฮั้งเจียงกับสามีจำเลยที่ 2ได้พาโจทก์ไปพบจำเลยที่ 1 ได้ดูในบิลปลอมจนโจทก์รู้ว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับได้ออกชำระเงินตามใบบิลปลอมและเป็นเช็คไม่มีมูลหนี้แต่การคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่สุจริต อันจะทำให้ผู้สั่งจ่ายยกความสัมพันธ์ระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นต่อสู้ผู้ทรงได้ตามข้อความตอนท้ายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 นั้น จะต้องเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลหรือความไม่สุจริตที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้ทรงรับโอนเช็ค เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้นำสืบอย่างใดว่าขณะที่จำเลยที่ 2 โอนเช็คทั้งสองฉบับให้โจทก์ได้มีการคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่สุจริตอย่างใด ส่วนข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าโจทก์ได้พบจำเลยที่ 1 ได้ดูใบบิลปลอมและรู้ว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกชำระค่าหินทรายตามใบบิลที่ปลอมก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2525 หลังจากที่โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับมาจากจำเลยที่ 2 แล้ว โดยเฉพาะเช็คพิพาทฉบับแรกตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ได้นำไปขึ้นเงิน และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วและการที่โจทก์นำเช็คพิพาทฉบับที่ 2ตามเอกสารหมาย จ.2 ไปขึ้นเงิน ภายหลังจากที่ทราบว่าเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกชำระค่าหินทรายตามใบบิลปลอม ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่โจทก์รับโอนเช็คมาแล้ว มิใช่กรณีที่โจทก์คบคิดกับจำเลยที่ 2 ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 หรือมีความไม่สุจริตในขณะที่รับโอนเช็คเช่นเดียวกัน คดีฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับด้วยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่สุจริต ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share