แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าคนร้ายลักไป จับเรือได้จากจำเลยเป็นคนร้ายลักหรือรับเรือไว้โดยรู้ว่าเป็นของได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย หรือร้ายลักเรือแล้วทำหลุดออกมา จำเลยเก็บได้ แล้วนำไปซุกซ่อนไว้โดยมีเจตนาทุจริต ยักยอกไว้ไม่ทำตามกฎหมาย
พนักงานสอบสวนจำเลย จำเลยรับว่า เก็บเรือลอยน้ำได้ จึงขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์รับของโจร ยักยอก เก็บของตกดังนี้ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 158 แล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องบรรยายว่า ระหว่างพระอาทิตย์ตกวันที่ ๒๔ ถึงพระอาทิตย์ขึ้นวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๘๙. เวลากลางคืน มีคนร้ายลักเรือโปง ๑ ลำ ราคา ๗๐ บาท ของนายติระ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายลิไป วันที่ ๒๕ เดือนเดียวกันเวลากลางวัน เจ้าทรัพย์นำเจ้าพนักงานจับเรือได้ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง โดยจำเลยสมคบกันลัก หรือรับไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นเรือที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย หรือว่าคนร้ายลักเรือแล้วทำหลุดลอยมา จำเลยทั้งสองช่วยกันเก็บไว้แล้วนำไปซุกซ่อนไว้โดยมีเจตนาทุจริตยักยอกไว้ เป็นอาณาประโยชน์ ไม่กระทำตามกฎหมายสำหรับการนั้น เจ้าพนักงานสอบสวนจำเลย ๆ รับว่าเก็บเรือลอยน้ำได้ จึงขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๙๓, ๒๙๔, ๓๒๑, และ ๓๑๘.
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฎีกา.
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องได้บรรยายการกระทำ และรายละเอียดไว้ชัด และไม่ขัดแย้งกันพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจในข้อหาได้ดีแล้ว คือว่า เรือถูกลักไป จับเรือได้จากจำเลย ๆ รับชั้นสอบสวนว่า เก็บเรือลอยน้ำได้ ความจริงเป็นอย่างไร จำเลยย่อมเข้าใจและรู้ดีว่าใคร ไม่มีทางที่จำเลยจะหลงเข้าใจฟ้องผิด ฟ้องของโจทก์สมบูรณ์แล้ว จึงพิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณาต่อไป