คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญา ฟ้องผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นจำเลยโดยกล่าวหาว่าจำเลยแกล้งหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ โดยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ของ ย. ผู้ขอประกันตัวโจทก์จากราคา 120,000 บาทให้เหลือเพียง 60,000 บาทจนไม่พอประกันกับแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตไม่ยอมตีราคาหลักทรัพย์ของผู้ขอประกันเมื่อ 9 นาฬิกา จนเมื่อเวลาศาลจะปิดทำการแล้วจึงแจ้งแก่โจทก์ว่าหลักทรัพย์ไม่พอ ทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสไปหาหลักทรัพย์มาเพิ่มได้ทันทำให้โจทก์ถูกขังต่อมา แต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยผู้ทำหน้าที่ศาลได้ตรวจดูหลักประกันตามบัญชีทรัพย์ที่ผู้ขอประกันยื่นมานั้นว่าจะเชื่อถือได้เพียงใดหรือไม่แล้วเห็นว่าตีราคาสูงกว่าราคาที่แท้จริงมากนักซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลเห็นว่าผู้ประกันไม่ควรตีราคาหลักประกันให้สูงผิดความจริงไปมากอันจะทำให้ศาลสิ้นความเชื่อถือจึงได้แก้ไขเสียให้ใกล้เคียงกับราคาจริงหากจะต้องเสียเวลาไปบ้าง ก็เป็นการกระทำที่อยู่ในการใช้ดุลพินิจภายในขอบอำนาจของผู้พิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องก็ไม่มีข้อที่จะแสดงว่าจำเลยกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นแต่อย่างใด ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์ฟ้องจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 310 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษที่ศาลยกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องจึงชอบแล้ว
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ในบัญชีทรัพย์ที่ ย. ยื่นขอประกันจำเลย บัญชีทรัพย์นี้จึงเป็นเอกสารซึ่งผู้ขอประกันทำยื่นต่อศาลหาใช่เอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ทำไม่และจำเลยมิได้รับรองเป็นหลักฐานหรือละเว้นไม่จดข้อความอันใดลงในเอกสารนั้นจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามมาตรา 161 และ 162

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต กระทำความผิด คือ

(ก) ระหว่าง 1 พฤษภาคม 2516 ถึง 1 เมษายน 2517 เวลากลางวันจำเลยใช้ให้นายสุเมธบุตรชายโจทก์ทำปลอมเอกสารขึ้นบางส่วน โดยแก้ไขราคาทรัพย์ของนางยกอ่ายผู้ประกันโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 273/2515จาก 120,000 บาท ตามที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลคนก่อนได้ตีราคาไว้ ให้เหลือเพียง 60,000 บาท โดยข่มขืนใจโจทก์และนายสุเมธให้กระทำหรือจำยอมโดยเกรงกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อเสรีภาพหากโจทก์และนายสุเมธไม่ยอมทำตาม จำเลยอาจแกล้งไม่ให้ประกันตัวในคดีอาญา หมายเลขดำที่563/2514 และ 326/2515 ซึ่งโจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลย ทั้งนี้โดยจำเลยบังอาจปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีเจตนาทุจริต หรือมีหน้าที่ทำเอกสารกรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ดูแลนั้น หรือรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นเท็จ หรือรับรองเป็นหลักฐานว่าได้มีการแจ้งซึ่งข้อความอันมิได้มีการแจ้งหรือละเว้นไม่จดข้อความซึ่งตนมีหน้าที่ต้องรับจดหรือจดเปลี่ยนแปลงข้อความเช่นว่านั้น หรือรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริง อันเป็นเท็จ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ หรือมีเจตนาจะหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ในคดีอาญาดำที่563/2514 326/2515 และ 313/2516 เป็นเหตุให้โจทก์ถูกกักขังในคดีดำที่ 326/2515 ประมาณ 3 วัน หากจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตโดยการข่มขืนใจโจทก์โดยใช้ให้นายสุเมธแก้ไขเอกสารทางราชการในคดีดำที่ 273/2515 ให้เหลือ 60,000 บาท แล้ว หลักทรัพย์ดังกล่าวย่อมใช้ประกันตัวโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในอีก 3 คดีนั้นได้ ทั้งนี้โดยการแกล้งปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อช่วยเหลือคู่ความของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

(ข) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2517 เวลา 9 นาฬิกา โจทก์ได้ยื่นประกันตัวในคดีดำที่ 402/2516 ซึ่งโจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลย โดยมีนายประกันนำโฉนดราคาประมาณ 100,000 บาท ยื่นประกันตัวโจทก์ จำเลยแกล้งปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาทุจริตไม่ยอมตีราคาโฉนด แกล้งหน่วงเหนี่ยวไม่ให้โจทก์ได้มีประกันตัว จนเวลา 16 นาฬิกาจะปิดศาลแล้ว จำเลยจึงแจ้งแก่โจทก์ว่าหลักทรัพย์ไม่พอ หากจำเลยไม่แกล้งหน่วงเหนี่ยวก็ควรแจ้งให้โจทก์ทราบก่อนเพื่อโจทก์ไปหาหลักทรัพย์มาเพิ่มได้ทัน เพื่อจะได้ไม่ถูกกักขังในวันที่ 9 และ 10 ซึ่งหยุดราชการ ทั้งนี้โดยจำเลยมีเจตนาแกล้งหน่วงเหนี่ยวโจทก์ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ทำให้โจทก์ถูกกักขังอยู่16 วันจึงได้ประกันตัวออกมาโดยจำเลยปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาทุจริต เพื่อแกล้งหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์แกล้งเรียกร้องราคาทรัพย์ให้สูงเกินจำเป็น และแกล้งตีราคาทรัพย์ของนายประกันให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ไม่ปฎิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

(ค) ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม 2517 ถึง 9 เมษายน 2517 เวลาใดไม่ปรากฏชัด ปรากฏว่าเอกสารราคาทรัพย์ตามฟ้องข้อ (ก) ได้มีรอยแก้จาก60,000 บาท กลับมาเป็น 120,000 บาท อีก เอกสารดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย โดยจำเลยได้บังอาจแก้ปลอมเอกสารราชการ

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 309, 310,161, 162, 264, 265, 266, 267, 268, 83, 84

ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องและมีคำสั่งให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

เกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 นั้น โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความว่า จำเลยข่มขืนใจ ใช้ให้นายสุเมธ จันทร์ตระกูลแก้บัญชีทรัพย์ของนางยกอ่าย ลิมปานนท์ ผู้ขอประกันตัวโจทก์ จากราคา120,000 บาท ให้เหลือเพียง 60,000 บาท โดยทำให้นายสุเมธกลัวว่าถ้าไม่ยอมทำตาม จำเลยอาจไม่ให้โจทก์ได้ประกันตัว ดังนี้ ผู้ที่ถูกจำเลยข่มขืนใจให้แก้ราคาทรัพย์นั้นคือนายสุเมธ หาใช่ตัวโจทก์เองไม่ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะฟ้องคดีข้อหานี้ได้

ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 นั้น โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยแกล้งหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ โดยข่มขืนใจใช้ให้นายสุเมธแก้ราคาหลักทรัพย์ให้น้อยลงจนไม่พอประกัน กับแกล้งปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตแจ้งแก่โจทก์เมื่อเวลาศาลจะปิดทำการแล้วทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสไปหาหลักทรัพย์มาเพิ่มได้ทัน ทำให้โจทก์ถูกกักขังต่อมา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่ออ่านคำฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยผู้ทำหน้าที่ศาลได้ตรวจดูหลักประกันตามบัญชีทรัพย์ที่ผู้ขอประกันยื่นมานั้นว่าจะเชื่อถือได้เพียงใดหรือไม่ แล้วเห็นว่าตีราคาหลักประกันสูงกว่าราคาที่แท้จริงมากนักเป็นเรื่องที่ศาลเห็นว่าผู้ประกันไม่ควรตีราคาหลักประกันให้สูงผิดความจริงไปมาก อันจะทำให้ศาลสิ้นความเชื่อถือ จึงได้ให้แก้ไขเสียให้ใกล้เคียงกับราคาจริง หากจะต้องเสียเวลาไปบ้างก็เป็นการกระทำที่อยู่ในการใช้ดุลพินิจภายในขอบอำนาจของผู้พิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็ไม่มีข้อที่จะแสดงว่าจำเลยกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มีควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยเองหรือผู้อื่นแต่อย่างใด ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยแกล้งปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง

เกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้นคำบรรยายฟ้องของโจทก์มุ่งกล่าวหาว่าจำเลยปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องไม่มีข้อที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำไปโดยทุจริตดังได้วินิจฉัยไว้แล้ว การกระทำของจำเลยย่อมไม่อาจเป็นความผิดฐานนี้ได้

สำหรับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 และ 162 ตามฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนใจใช้ให้นายสุเมธแก้ราคาหลักทรัพย์ในบัญชีทรัพย์ที่นางยกอ่ายยื่นขอประกันจำเลย บัญชีทรัพย์นี้เป็นเอกสารซึ่งผู้ขอประกันทำยื่นต่อศาล หาใช่เอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ทำไม่และจำเลยมิได้รับรองเป็นหลักฐานหรือละเว้นไม่จดข้อความอันใดลงในเอกสารนั้นจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามข้อหาที่กล่าวนี้

ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ถึงมาตรา 268คือการแก้ราคาหลักทรัพย์จาก 60,000 บาท กลับมาเป็น 120,000 บาทอีกนั้นคำฟ้องอ้างเพียงว่าเอกสารนี้อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยจึงเป็นการกระทำของจำเลยเอง ข้อความเช่นนี้แสดงอยู่ในตัวว่าโจทก์คาดคิดหรือสันนิษฐานเอาเท่านั้น มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระทำจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158

สรุปแล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลเป็นความผิดดังที่โจทก์กล่าวหาและเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ศาลล่างยกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องนั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share